เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 สิงหาคม) Ford Motor ประกาศชะลอโครงการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และหันมาเน้นการผลิตโมเดล Hybrid แทน จากแนวโน้มการเปิดรับ EV ที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้
Ford จะชะลอแผนการสร้างรถกระบะไฟฟ้าที่โรงงานผลิตแห่งใหม่ในรัฐเทนเนสซีไปก่อน โดยแผนเดิมจะเริ่มก่อสร้างในปี 2025 มูลค่าการลงทุน 5.6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.9 แสนล้านบาท รวมทั้งยกเลิกแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV
ขณะเดียวกัน Ford จะหันมาเน้นพัฒนารถโมเดล Hybrid ร่วมกับการพัฒนารถตู้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ภายในปี 2026 ก่อนจะตามมาด้วยการพัฒนารถกระบะไฟฟ้าภายในปี 2027
ซึ่งแผนการสร้างรถกระบะไฟฟ้าดังกล่าวจะมี 2 โมเดล โดยโมเดลแรกจะเป็นรถกระบะแบบ Full-Size หรือขนาดเต็มสเกล จะสร้างขึ้นในโรงงานที่รัฐเทนเนสซีในปี 2027
ในขณะที่โมเดลที่สองจะสร้างเป็นรถกระบะไฟฟ้าแบบ Mid-Size ซึ่งจะมีขนาดเล็กลงมา และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยทีมงานในรัฐแคลิฟอร์เนีย
John Lawler กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า Ford จะเน้นการผลิตรถในโมเดลที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญและได้เปรียบกว่าคู่แข่ง นั่นก็คือรถกระบะและรถ SUV
ซึ่งการดำเนินตามแผนเหล่านี้เป็นไปเพื่อให้บริษัทคุ้มค่าในการลงทุน และทำกำไรในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าได้ในระยะยาว แม้ในระยะสั้นอาจเป็นภาระทางการเงินของบริษัทได้
โดยค่าใช้จ่ายพิเศษเหล่านี้ที่ไม่อยู่ในรูปเงินสดจะคิดเป็นมูลค่าราว 400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายในรูปเงินสดราว 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท
Lawler กล่าวว่า แผนค่าใช้จ่ายของบริษัทสำหรับ EV ในอนาคตจะลดลงจาก 40% เหลือเพียง 30% ของเงินลงทุน และมีแผนจะผลิตแบตเตอรี่ภายในปี 2025
นอกจากนี้ Ford ยังเคยประกาศว่า บริษัทจะยังไม่เปิดตัว EV หากยังไม่มีแนวโน้มทำกำไรได้ภายใน 1 ปี
ทั้งนี้ Ford ก็ยังมีแผนออกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในโมเดลที่เปิดตัวไปแล้วอย่าง Ford Mustang Mach-E Crossover และรถกระบะ F-150 Lightning
อ้างอิง: