วานนี้ (6 สิงหาคม) เว็บไซต์สำนักข่าว The Jakarta Post ของอินโดนีเซีย ได้เผยแพร่บทความที่เขียนโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยพาดหัวว่า “อะไรทำให้ผมยังมีความหวัง แม้ว่าประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยที่เปราะบางเต็มที”
บทความดังกล่าวบรรยายภาพความไม่ปกติของพรรคก้าวไกล ที่คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ได้บริหารประเทศ และต้องพัวพันกับการต่อสู้ในคดีต่างๆ โดยวันนี้ (7 สิงหาคม) ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ท่ามกลางการจับตามองจากทั้งในและนอกประเทศ
“การเมืองในประเทศไทยมักมีเหตุการณ์ที่ดูน่าแปลกประหลาดมากกว่านิยายเสียอีก แม้ว่าพรรคของผมจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีก่อนจนได้ที่นั่งส่วนใหญ่ในรัฐสภามาครองได้ แต่กลับกลายเป็นว่าในวันนี้ผมต้องมาพัวพันกับการต่อสู้คดี แทนที่จะได้บริหารประเทศตามที่ได้รับอำนาจจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนกว่า 14 ล้านคน
“กลุ่มชนชั้นนำไทยได้นำสถาบันฯ มาใช้คัดง้างเสียงข้างมาก ด้วยการยัดข้อกล่าวหาว่าพวกเราพยายามล้มล้างการปกครองของรัฐ โดยข้อกล่าวหาที่พวกเขานำมาใช้เล่นงานมีต้นสายปลายเหตุมาจากที่พวกเรายื่นข้อเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยหวังให้เป็นการป้องกันไม่ให้มีการใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือปิดปากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และป้องกันไม่ให้เกิดการปลูกฝังความกลัวให้กับผู้วิพากษ์วิจารณ์”
พิธาระบุว่า การตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกลในวันนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการเรียกตัวนัดสอบคำให้การเพิ่มเติมจากฝั่งของเขาที่เป็นจำเลยแต่อย่างใด
พิธาระบุว่า “การตัดสินของศาลว่ามีความผิดในครั้งนี้จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” และเป็นการตัดสิทธิตัวเขาและพวกพ้องออกจากการเมืองไปตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความกังวลต่อประชาธิปไตยของไทย พิธาเชื่อว่าคนไทยยังสามารถมองเห็นถึงความหวังอยู่บ้าง
“หากมองแบบผิวเผินจะดูเหมือนว่าประชาธิปไตยของไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามอันร้ายแรง ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางประชาชนผู้มีความปรารถนาในการสร้างประเทศให้ดีขึ้น แต่หากพิจารณาอย่างใกล้ชิดดูอีกทีก็ยังมองเห็นถึงความหวังอยู่บ้าง
“ขณะที่เขามองภาพความหวังที่มีอยู่เป็น 4 ข้อ ได้แก่
“1. ประชาชนคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตระหนักได้ว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
“2. กลุ่มอนุรักษนิยมแบบสุดโต่งได้รับแรงกดดันเพิ่มมากขึ้น และมีการเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้มีอำนาจเพิ่มขึ้น
“3. กลุ่มคนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมแบบมีเหตุมีผลกำลังเปลี่ยนมาอยู่ข้างพรรคก้าวไกล โดยผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดพบว่าพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนความนิยมสูงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และคาดว่าพรรคจะได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงที่มากขึ้นอีกในการเลือกตั้งรอบหน้า
“4. ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและรู้สึกถึงพลังอำนาจของตนมากกว่าที่เคยเป็นมา สามัญชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง รวมถึงชนชั้นที่ยากจนที่สุด มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง”
ทั้งนี้ พิธาระบุว่า เหตุการณ์ที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้หนุนหลัง หันไปจับมือกับพรรคฝ่ายสนับสนุน คสช. เพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ทำให้ประชาชนผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยรู้สึกว่าตนโดนทรยศหักหลัง จึงหันมาสนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นจำนวนมาก
“ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจถ้าจะเห็นประชาชนผู้ที่เคยลงคะแนนเสียงให้กับ พล.อ. ประยุทธ์ อดีตนายกรัฐมนตรี รู้สึกผิดหวังกับการจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรค คสช. กับพรรคเพื่อไทย และประกาศกร้าวว่าพวกเขาจะลงคะแนนเสียงให้กับพรรคก้าวไกล”
ขณะที่พิธาชี้ว่าบรรดาผู้พิพากษารุ่นใหม่ก็ออกมาแสดงความผิดหวังกับการตีความกฎหมายที่ยืดหยุ่นจนเกินไปเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม
“แนวโน้มต่างๆ ที่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมดนี้ รวมถึงการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทุกระดับในสังคมไทย ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศของเรา”
พิธาระบุว่า การที่นักการเมืองผู้มีแนวโน้มว่าจะเผด็จการต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างแสนสาหัสจากผลการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้
พิธามองว่าแม้ในเวลานี้พรรคก้าวไกลจะยังไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ตาม แต่การอภิปรายทางการเมืองในระดับประเทศก็มีความก้าวหน้าให้เห็น ทั้งการมีข้อเสนอร่างกฎหมายแบบใหม่เกิดขึ้น เช่น ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และชนพื้นเมือง รวมถึงสิทธิแรงงานและสวัสดิการ
โดยพิธายืนยันว่ายังคงมีความหวังกับประเทศไทย ไม่ว่าในเดือนหน้าเหตุการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไรก็ตาม
“หากดูเพียงหน้าฉากจะเห็นว่าประเทศไทยยังขาดความเป็นประชาธิปไตยอยู่มาก หากศาลวินิจฉัยตัดสินยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิทางการเมืองของสมาชิกพรรค
“ปฏิบัติการทางการเมืองใดๆ ที่เป็นการตัดสิทธิและกีดกันประชาชนจำนวนมากมักมีราคาที่ต้องจ่ายสูงตามมาด้วย นั่นเป็นเพราะว่าในตอนนี้ประชาชนคนไทยทั่วประเทศมีความตื่นรู้ทางการเมืองแล้ว
“สิ่งที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นำพามาซึ่งแสงแห่งความหวังให้กับประชาธิปไตยในประเทศไทย แม้ว่าอนาคตจะยังดูมืดมนก็ตาม
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ความปรารถนาของประชาชนชาวไทยที่จะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยโดยปราศจากความหวาดกลัวและความขาดแคลนจะไม่ขึ้นอยู่กับผลการตัดสินของศาล” พิธาระบุ
อ้างอิง: