วันนี้ (6 สิงหาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เชิญทูต 18 ประเทศมาร่วมสังเกตการณ์คดียุบพรรคก้าวไกล จะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ว่า เราไม่ทราบว่าพิธาหารือทูต 18 ประเทศเรื่องอะไร โดยเชื่อว่าทูตซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับกิจการภายในประเทศไทย
ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนเองได้พบปะหารือกับทูต รวมถึงรัฐมนตรีต่างๆ ซึ่งล่าสุดได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสิงคโปร์ ในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ตนเองจะเดินทางไปประเทศคาซัคสถาน ดังนั้นการพบปะพูดคุยระหว่างนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลกับตัวแทนต่างประเทศไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถพบเจอได้เสมอ
เมื่อผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า กรณีที่สหรัฐอเมริกาแสดงความเป็นห่วงกรณีการยุบพรรคก้าวไกล รัฐบาลไทยควรที่จะมีท่าทีถึงกระบวนการยุติธรรม เพื่อป้องกันการแทรกแซงหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า เราต้องเคารพกระบวนการยุติธรรม โดยไม่เชื่อว่าต่างประเทศจะเข้ามาแทรกแซง เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของพวกเรา
ดังนั้นวันนี้ควรที่จะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมได้เดินไปตามครรลอง และเราต้องเคารพกระบวนการยุติธรรม หากเราไม่เคารพ แล้วใครจะมาเคารพกระบวนการยุติธรรมของเรา ผลออกมาอย่างไรก็ให้คลี่คลายด้วยสถานการณ์การเมือง ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ส่วน สว. พันธุ์ใหม่ ออกแสดงท่าทีคัดค้านการยุบพรรคก้าวไกลนั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า เรื่องนี้ตนเองไม่อยากที่จะก้าวล่วง แต่ทุกคนควรที่จะทำตาม
ยืนยัน ภูมิใจไทยไม่ดูด สส. ก้าวไกล
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนสิงหาคม มองเรื่องนี้อย่างไร เพราะมีทั้งคดียุบพรรคก้าวไกลและคดีของนายกฯ ว่า เรื่องที่เกี่ยวกับศาล คำพิพากษา เราต้องไม่ให้ความเห็นอะไรเลย เพราะพูดไปพูดมาเดี๋ยวจะไปก้าวล่วง อันนี้วุ่นเลย ละเมิดอำนาจของศาลไม่ได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความเป็นห่วงที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เชิญทูต 18 ประเทศมาร่วมสังเกตการณ์ จะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ โดยอนุทินร้อง “อู๊ย อย่าไปถามอย่างนั้น ทูตเชิญท่านมั้ง ไม่ใช่ท่านเชิญทูต”
เมื่อผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า พิธาได้เชิญทูตมาจับตาคดียุบพรรค อนุทินกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ ถ้ามาได้ เหมือนสมัยก่อนที่มีการเชิญทูตมาที่สถานีตำรวจเพื่อสังเกตการณ์ ตนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็มีทูตไป ตนว่าดีเสียอีก จะได้เกิดความมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอน มีความยุติธรรม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้จะทำให้ถูกมองว่าต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า “แหม แค่คนมาจ้องแค่นี้ แล้วบอกว่าแทรกแซง ก็คงไม่ใช่”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะเหมือนสนธิสัญญาเบาว์ริงหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า จำไม่ได้ เกิดไม่ทัน ส่วนกรณีที่ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีความพยายามจะดึง สส. พรรคก้าวไกล ไปร่วมพรรค อนุทินกล่าวว่า ก็ไม่ใช่พรรคตน ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย
วิษณุเชื่อ ถ้าผลออกทางลบไม่กระทบรัฐบาล
ส่วน วิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงท่าทีทูต 18 ประเทศ ที่แสดงความเห็นต่อการพิจารณาคดีพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการก้าวล่วงกิจการภายในประเทศหรือไม่ว่า ไม่หรอก หน้าที่ของทูตขณะนี้คือพยายามสร้างความสัมพันธ์และหาข่าว ซึ่งเป็นธรรมดา ตนก็เคยถูกทูตหลายประเทศเชิญไปคุย ขนาดลาออกมาแล้วก็ยังถูกเชิญ ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร คุยกันเรื่องปัญหาการบ้านการเมืองด้วยซ้ำไป คุยกันธรรมดา ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นจริงเป็นจัง ตนยังบอกด้วยว่า คุยกันไปมา ถ้าทูตนำไปรายงานให้ประเทศท่าน ท่านอาจจะถูกเขาด่าก็ได้นะ เพราะมันไม่จริง ไม่ถูก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แต่การชี้แจงกับทูต ควรเป็นการชี้แจงจากรัฐบาลหรือไม่ วิษณุกล่าวว่า นั่นเป็นอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกกันว่าล็อบบี้ ถือเป็นระดับล่างลงมา ซึ่งทูตของไทยถ้าไปอยู่ต่างประเทศก็ต้องหาข่าวทุกอย่าง สร้างความสัมพันธ์ ของบางอย่างทูตได้จากหนังสือพิมพ์ จากสื่อมวลชน บางอย่างก็ได้มาจากการคบค้าสมาคม เข้าวงการเมือง เข้าเมืองสังคม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อถามว่า การที่ทูตต่างประเทศแสดงความเป็นห่วงเรื่องการยุบพรรคก้าวไกล ถ้าผลการตัดสินเป็นลบ มองว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาลหรือไม่ ในเรื่องกระบวนการยุติธรรมหรือระบอบประชาธิปไตยของไทย วิษณุกล่าวว่า ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไร จะเกี่ยวกับรัฐบาลก็เฉพาะตัดสินคดีของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เท่านั้น