หลังจากที่ราคาหุ้นบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) อย่าง NVIDIA ปรับตัวขึ้นมากว่า 7 เท่าภายในช่วง 2 ปี นักลงทุนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว และย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นที่มีมูลค่า (Valuation) ถูกกว่าแต่อาจได้รับประโยชน์สืบเนื่องจากการเติบโตของ AI แทน เช่น หุ้นด้านพลังงาน, หุ้นนิคมอุตสาหกรรม, สินค้าโภคภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น ทองแดง หรือหุ้นบริษัทที่นำ AI ไปใช้ ฯลฯ
โดยปัจจัยด้านราคาหุ้นกลุ่ม AI ที่ถูกขาย ไม่เพียงเฉพาะมูลค่าที่อยู่ในระดับที่สูงเพียงอย่างเดียว หากแต่เศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญภาวะกดดันจากทั้งด้านการเงิน การคลัง และความตึงเครียดจากภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกเช่นกัน
Gina Martin Adam หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Bloomberg Intelligence เผยว่า แม้เราจะเห็นถึงการเก็งกำไรนอกกลุ่มหุ้น AI และหุ้นสื่อสาร แต่การเก็งกำไรหุ้น AI ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่
และแม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสื่อสารจะทำผลตอบแทนดีติดอันดับต้นๆ ใน MSCI World Index ที่ระดับมากกว่า 14% ต่อปี แต่กลับพบว่าหุ้นสองกลุ่มนี้ทำผลตอบแทนแย่ติดอันดับต้นๆ ของไตรมาสนี้
ซึ่งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มโรงไฟฟ้าสาธารณูปโภคทำผลตอบแทนได้ดีติดอันดับต้นๆ นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบัน
โดยจากข้อมูลของ International Energy Agency ประมาณการว่า การใช้พลังงานจาก Data Center, AI และคริปโตเคอร์เรนซี จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปัจจุบัน ไปแตะ 1,000 เทระวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2026 ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นทั้งประเทศ
ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้โรงไฟฟ้าและผู้ผลิตไฟฟ้าต่างๆ ได้รับผลประโยชน์สืบเนื่องจากกระแส AI และ Data Center ที่เติบโต
Evgenia Molotova หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Pictet Asset Management มองว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับอัตราการนำ AI ไปใช้ แต่ภายในปี 2030 AI อาจต้องการ Data Center ที่มีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน 2-3 เท่า
ไม่เพียงเท่านั้น Ken Liu นักวิเคราะห์ของ UBS Group ชี้ว่า หม้อแปลงไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังขาดแคลน หากคุณสั่งออร์เดอร์วันนี้ คุณอาจต้องรอปี 2028 เพื่อที่จะได้สินค้า
โดย Philipp Bärtschi หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Bank J. Safra Sarasin AG ชี้ว่า โครงสร้างขั้นพื้นฐานสำหรับการผลิตไฟฟ้าจะเป็นเมกะเทรนด์มาตั้งแต่ก่อน AI แล้ว แต่การเกิดขึ้นของ AI จะยิ่งทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาส แต่ก็มีความผันผวนสูงตามธรรมชาติของธุรกิจที่มีความเป็นวัฏจักรอยู่พอสมควร
อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ก็คือพลังงานหมุนเวียน เพราะหากเกิดการผลิตพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบปกติมากขึ้น มลพิษก็ย่อมจะมากขึ้นตามมา แต่การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์, น้ำ, ลม และพลังงานนิวเคลียร์ จะมาช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
หรือหากมองไปที่อุตสาหกรรมวัตถุดิบ อย่างเช่น ทองแดง ที่มีส่วนสำคัญในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ก็มีโอกาสสำหรับการลงทุนเช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลของ Bloomberg Intelligence พบว่า อัตราการใช้ทองแดงจะแตะ 2 ล้านตันภายในปี 2030 โดยมาจากสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่ง จากความต้องการพลังงานไฟฟ้าสำหรับ Data Center ในการประมวลผลข้อมูลสำหรับ AI
ไม่เพียงเท่านั้น อุตสาหกรรมอย่างที่ดินก็จะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทด้านพลังงานต้องการที่ดินสำหรับการตั้งโรงไฟฟ้าหรือการตั้ง Data Center ด้วยเช่นกัน ซึ่งประเทศในแถบอาเซียนก็เป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับการมาตั้งฐาน Data Center เหล่านี้ โดยบริษัท AIS จากประเทศไทย และ Telekom Malaysia Bhd ของมาเลเซีย ก็กำลังเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตจากกระแสเหล่านี้เช่นกัน
และท้ายที่สุดคือ End Users จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ สืบเนื่องจาก AI จากการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาสร้างความได้เปรียบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ตนเอง โดย Morgan Stanley ประเมินว่า บริษัทที่นำ AI ไปใช้ได้อย่างมีประโยชน์จะมีโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้นเฉลี่ย 27% ในปีนี้
อ้างอิง: