ในช่วงคืนวันอังคารที่ผ่านมา (16 กรกฎาคม) ราคาทองคำขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 2,475.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์ คิดเป็นการปรับตัวขึ้นราว 1.9% จากปัจจัยที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะมีโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง หลังจากสัญญาณเงินเฟ้อหลายตัวเริ่มชะลอลง
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้สินทรัพย์ประเภท Non-Productive Assets หรือสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อย่างเช่น ทองคำ แร่เงิน ปรับตัวขึ้นได้
หากพิจารณานับจากต้นปี (YTD) ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 20% ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกทยอยเก็บเข้าเป็นเงินสำรองอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังตึงตัวอยู่
คริส เวสตัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Pepperstone Group เผยว่า ปัจจัยพื้นฐานเกี่ยวกับทองคำกำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน และนั่นจะเป็นเหตุผลให้นักลงทุนปรับสัดส่วนการลงทุนในทองคำเข้าพอร์ตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้เป้าราคาทองคำที่ 2,500 ดอลลาร์เป็นสมมุติฐานที่ไม่สูงเกินจริงเท่าไรนัก และสามารถไปถึงได้ในเร็ววันนี้
แต่ทั้งนี้สัญญาณทางเทคนิคบางประการอย่างเช่น Relative Strength Index (RSI) ที่มากกว่า 70 ก็อาจชี้ว่าราคาทองคำ ณ ขณะนี้มีการเข้าซื้อมากจนเกินไป หรือที่เรียกกันว่า Overbought
นอกจากนี้เหล่านักลงทุนและนักวิเคราะห์ยังอาจนำผลของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งถูกลอบสังหารในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มาประเมินว่าทรัมป์อาจชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ และทำให้นโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศมีโอกาสลดภาษีลง และนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ตึงตัวมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น (Safe Haven Asset)
อ้างอิง: