×

สเปน หรือ อังกฤษ? ฉากสุดท้าย ยูโร 2024 ที่ เบอร์ลิน

14.07.2024
  • LOADING...

เผลอใจไม่นาน ฟุตบอล ‘ยูโร 2024’ กำลังจะเดินทางมาถึงฉากสุดท้ายแล้วนะครับ

 

ตลอดระยะเวลาร่วม 1 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่ารายการครั้งนี้จะไม่ได้เป็นฟุตบอลที่สนุกหรือมีคุณภาพดีที่สุด แต่ระหว่างทางก็มีเรื่องราวและความทรงจำเกิดขึ้นมากมาย

 

เกมสุดเร้าใจของตุรกีและจอร์เจียท่ามกลางสายฝนที่หล่นลงมาจากฟ้าใส่หลังคาสนามเวสต์ฟาเลนสตาดิโอน, ลูกยิงมหัศจรรย์ของ จูด เบลลิงแฮม, ดวงดาวพราวแสงที่ถูกค้นพบใหม่อย่าง อาร์ดา กูเลอร์, นิโก วิลเลียมส์ และ ลามีน ยามาล

 

เสียงแซกโซโฟนของ อังเดร ชนูรา ที่เป็นหนึ่งในสีสันที่สวยงามที่สุดเคียงคู่กับคลื่นสีส้มของกองทัพ ‘ออรานเย’ 

 

ที่สุดแล้วเรากำลังเดินมาถึงปลายสายของเส้นทางกับคำถามสุดท้าย

 

ระหว่างทีมที่เล่นได้ดีที่สุดในรายการอย่างสเปน กับทีมที่เหมือนจะมีดวงวาสนาอย่างอังกฤษ ใครจะเป็นผู้พิชิตดินแดนลูกหนังยุโรปในศึกครั้งนี้

 

เกมนัดชิงชนะเลิศของยูโร 2024 จะมีขึ้นที่สนามโอลิมเปียสตาดิโอน ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นสนามที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของเยอรมนีครับ

 

 

สนามแห่งนี้อยู่ยั้งยืนยงเหนือกาลเวลามาร่วม 100 ปี โดยเป็นผลงานการออกแบบของ แวร์เนอร์ เมิร์ช สถาปนิกชาวเยอรมัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1936 

 

ปีเดียวกับที่ เจสซี โอเวนส์ นักวิ่งทีมชาติสหรัฐอเมริกา สร้างตำนานคว้า 4 เหรียญทองในการแข่งขัน ‘นาซีโอลิมปิก’ นักวิ่งเชื้อสายแอฟริกันที่มาทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งอาณาจักรไรช์ที่ 3 ต้องขุ่นเคือง 

 

โดยความลับของนักวิ่งอยู่ที่รองเท้าของโอเวนส์ ​ซึ่งเป็นผลงานของ อดอล์ฟ และ รูดอล์ฟ ดาสเลอร์ สองพี่น้องช่างทำรองเท้าด้วย

 

เรื่องของโอเวนส์ รองเท้าของเขา และโอลิมปิกเกมส์ในครั้งนั้น เดี๋ยวคงมีให้ติดตามกันในช่วงกีฬาโอลิมปิกที่ THE STANDARD จะเกาะติดเหมือนเดิมครับ และผมเองคงมีโอกาสได้ขีดๆ เขียนๆ เรื่องราวที่น่าสนใจให้ได้อ่านกันบ้างเช่นเคย

 

กลับมาที่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรในครั้งนี้ จับกระแสลมของข่าวแล้ว ทิศทางค่อนข้างชัดเจนว่าเกือบทั้งหมดเชื่อว่า ‘สเปน’ เป็นตัวเต็งจะคว้าแชมป์

 

เรื่องนี้แม้แต่ แกเร็ธ เซาท์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ก็บอกเช่นเดียวกันครับว่า “สเปนคือตัวเต็ง” 

 

เหตุผลนั้นชัดเจน ทีมของ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต เป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีและโดดเด่นที่สุดในรายการครั้งนี้ เป็นทีมเดียวที่ชนะในเวลา 6 นัดรวด ไม่ต้องเล่นต่อเวลาพิเศษเลยแม้แต่เกมเดียว โดยทีมที่เอาชนะได้ก็ล้วนเป็น ‘ของแข็ง’ ทั้งสิ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี, โครเอเชีย, แอลเบเนีย ในรอบแรก ต่อด้วยจอร์เจีย (ที่อาจจะดูเบาที่สุด แต่ก็เกือบทำแสบเหมือนกัน), เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยเฉพาะสองทีมหลังที่สามารถบอกได้ว่าแทบจะเป็นนัดชิงชนะเลิศกลายๆ เลยทีเดียว

 

 

สเปนชุดนี้เป็นชุดที่มีสไตล์ แนวคิด และวิธีการเล่น ที่แตกต่างจากหลายชุดที่ผ่านมา พวกเขาละทิ้งแนวทางการครองเกมเป็นหลักด้วยการต่อบอลสั้นที่เรียกขานกันว่า ‘Tiki-Taka’ และหันมาเล่นด้วยความรวดเร็วและเฉียบคมแทน

 

ไม่จำเป็นต้องครองบอลเยอะ แค่ขอให้ออกอาวุธได้หนักแน่นและคมก็พอ

 

ที่สำคัญคือ เป็นทีมที่ทุกคนเล่นเพื่อกันและกัน ไม่มีใครเป็นสตาร์แบกทีมคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนที่โดดเด่นอย่าง ลามีน ยามาล, นิโก วิลเลียมส์, ดานี โอลโม ไปจนถึงคนที่ปิดทองหลังพระอย่าง ฟาเบียน รูอิซ, โรดรี, มาร์ก กูกูเรยา และตัวสำรองอย่าง มิเกล เมริโน หรือ มิเกล โอยาร์ซาบาล ทุกคนเล่นเพื่อทีมหมด

 

จุดนี้อาจจะตรงข้ามกับอังกฤษภายใต้ แกเร็ธ เซาท์เกต นิดหน่อย เพราะทีม ‘สิงโตคำราม’ มาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องยอมรับว่าความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้พลิกสถานการณ์กลับมาได้ตลอด

 

จูด เบลลิงแฮม กับการทำประตูด้วยลูกจักรยานอากาศในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในนาทีสุดท้าย เปลี่ยนโชคชะตาของอังกฤษไปอย่างสิ้นเชิง

 

ต่อด้วยลูกยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ของ บูกาโย ซากา และลูกยิงจับยัดของ โอลลี วัตกินส์ ในรอบตัดเชือกกับเนเธอร์แลนด์

 

เรียกว่าถึงทีมเวิร์กและวิธีการเล่นจะไม่ได้ดูดีและน่าดึงดูดเท่าไรนัก แต่อังกฤษมีความ Resilient ตายยากตายเย็นไม่พอ ยังหาทางกลับมาได้เสมอด้วย 

 

 

แต่ต้องให้เครดิตกับเซาท์เกตที่ค่อยๆ ปรับแต่งอังกฤษจนมีคำตอบที่ใช่มากขึ้นเรื่อยๆ จากทีมที่โดนแฟนบอลโห่ใส่ตลอดเวลา ถึงขั้นขว้างปาแก้วเบียร์ลงมาใส่ผู้จัดการทีมและนักเตะ หลังจบเกมสุดท้ายของรอบแรกที่เสมอสโลวีเนียแบบน่าผิดหวัง ตอนนี้พวกเขาดีขึ้นตามลำดับทั้งวิธีการเล่นและผลงาน

 

ดังนั้นถึงสเปนจะเป็นตัวเต็ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประมาททีมอย่างอังกฤษที่มี ‘ทีเด็ด’ ที่พร้อมจะเล่นงานทีมอื่นได้ตลอดเวลา และมีตัวสำรองเป็นอาวุธลับอีกเพียบที่ข้างสนามไม่ว่าจะเป็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โคล พาลเมอร์, โอลลี วัตกินส์ หรือ ไอแวน โทนีย์

 

ก่อนเกมนัดนี้จึงมีบทวิเคราะห์ออกมามากมายครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งคำถามว่า ‘อังกฤษจะพิชิตสเปนได้อย่างไร?’ โดย The Analyst วิเคราะห์เอาไว้แบบนี้ครับ

 

  • สเปนมีจุดอ่อนที่เกมรับยังมีความเปราะบางให้เห็นอยู่ เพียงแต่ในหลายนัดพวกเขาเอาตัวรอดได้ด้วยความเหนียวของ อูไน ซิมอน ผู้รักษาประตู
  • คู่เซ็นเตอร์แบ็กของสเปนยังมีเครื่องหมายคำถามว่าคู่ไหนดีที่สุด? ระหว่าง โรบิน เลอ นอร์มานด์, เอเมอริก ลาปอร์ต หรือ นาโช 
  • เมื่อสเปนขึ้นนำคู่แข่งมักจะถอนลงมาตั้งรับ ไม่ได้บดขยี้เพื่อทำประตูหนีห่าง
  • สเปนเป็นทีมที่มีเกมเพรสซิงดีที่สุด เพราะมี โรดรี, ฟาเบียน รูอิซ และ ดานี โอลโม แต่ถ้าคู่แข่งแก้ลำแกะเกมเพรสซิงได้ จะผ่านไปเจอแนวรับที่เปราะบางได้ทันที
  • ตัวสำรองที่ลงมาเพื่อเปลี่ยนเกมไม่ได้โดดเด่นมากนัก

 

ในขณะที่ The Telegraph วิเคราะห์จุดสำคัญเอาไว้ดังนี้ครับ

 

  • การดวลกันระหว่าง บูกาโย ซากา กับ มาร์ก กูกูเรยา จะเป็นหนึ่งในจุดชี้ขาดเกม ถ้าปีกจากอาร์เซนอลเอาชนะแบ็กจากเชลซีได้ อังกฤษจะมีโอกาส
  • อังกฤษต้องตัดโรดรีออกจากเกมให้ได้ เพราะนี่คือกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดของโลกที่ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ตัดเกม ทำลายเกม ไปจนถึงคุมจังหวะเกม สร้างเกม และจบสกอร์ด้วยตัวเองได้ด้วย คนที่จะต้องเจอกับโรดรีก็คือ ฟิล โฟเดน รุ่นน้องในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้
  • ดึงกุญแจรถสปอร์ตสองคันของสเปนอย่าง ลามีน ยามาล และ นิโก วิลเลียมส์ ให้ได้ เพราะนี่คือเครื่องจักรสำคัญในการทำเกมรุกของสเปน ถ้าหยุดสองตัวอันตรายที่สุดได้ สเปนก็ลดความน่ากลัวลงไปมาก
  • อังกฤษต้องเล่นอย่างอดทน รับให้เหนียวแน่น แล้วรอจังหวะสวนกลับที่ต้องเข้าทำให้เฉียบคมที่สุด

 

 

ส่วนถ้าใครถามว่าสเปนจะชนะอังกฤษได้อย่างไร? ผมคิดว่าเรื่องนี้คิดอ่านง่ายกว่ามากครับ 

 

พวกเขาแค่เล่นให้เป็นตัวเอง เล่นในเกมของตัวเอง และถ้าให้ดีควรขึ้นนำ 2 ประตูให้ได้ เพราะเราได้เห็นแล้วใน 3 นัดของรอบน็อกเอาต์ว่าสโลวาเกีย, ​สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ มีชะตากรรมอย่างไรเมื่อนำแค่ 1 ประตู

 

ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นสเปนที่คว้าแชมป์สมัยที่ 4 เป็นทีมที่คว้าแชมป์ยูโรมากที่สุดทีมเดียว

 

หรือจะเป็น ‘It’s coming home’ ของอังกฤษ การคว้าแชมป์ที่ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อที่สุด

 

คืนนี้เราจะได้รู้กัน ขอให้เป็นฟุตบอลที่มัน เป็นเกมที่ดี เพื่อปิดฉากยูโรครั้งนี้อย่างสวยงามไปด้วยกันครับ

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising