ดินแดนลี้ลับแห่งเทือกเขาหิมาลัยที่มีคนไทยเคยไปน้อยมาก ไม่ใช่เพราะพวกเขารังเกียจนักท่องเที่ยวหรือจำกัดคนเข้าประเทศอย่างที่เขาเล่ากันมา แต่เป็นเพราะว่าแต่ก่อนนั้นภูฏานมีนโยบายต้อนรับนักเดินทางที่มาพร้อมกับบริษัททัวร์เท่านั้น และยังมีค่าธรรมเนียมรายวันด้วย
เมื่อเวลาเปลี่ยน กฎเปลี่ยน ภูฏานเปิดประเทศครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้อย่างอิสระ เราจึงอยากชวนคุณไปเยือน ‘ภูฏาน’ ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้าที่อากาศเย็นตลอดทั้งปี ประชากรพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับดีเยี่ยม และปลูกผักออร์แกนิกกินเองทั้งประเทศ
ทำไมเราต้องไปภูฏาน
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าคนไทยไปน้อยมาก และตอนนี้รัฐบาลภูฏานได้ปรับเปลี่ยนนโยบายทางการท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกนักเดินทางจากทั่วโลก โดยอนุญาตให้สามารถเข้าประเทศได้เองโดยไม่ต้องผ่านบริษัททัวร์ แต่ต้องใช้บริการไกด์ท้องถิ่นเพื่อพาเที่ยวตามเมืองต่างๆ และยังลดค่าธรรมเนียมเข้าประเทศรายวันลงถึง 50% โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะนำไปอุดหนุนสวัสดิการต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรภูฏานให้ดียิ่งขึ้น
อันที่จริงไม่ใช่พวกเขาไม่อยากรับนักท่องเที่ยวแบบเที่ยวเองหรอก แต่เนื่องจากภูฏานเป็นประเทศในอุตสาหกรรมงานบริการและการท่องเที่ยวที่จำกัด ที่สำคัญพวกเขาหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองมาก ก็เลยมองหานักท่องเที่ยวที่อยากไปสัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและหลงใหลในความหลากหลายของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์จริงๆ ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ภูฏานจะไม่ใช่ประเทศในฝันแรกๆ ที่หลายคนอยากไป แต่ถ้าใครท่องเที่ยวทั่วโลกมาสักพักแล้วละก็ ภูฏานนี่แหละตอบโจทย์สุดๆ
เตรียมตัวอย่างไรดี
หลังจากหลับใหลไปหลายปี เพราะต้องปิดประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด รัฐบาลใช้เวลาดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ด้วยการเซ็ตอัพระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเดินทางจะรวมไว้ที่เว็บไซต์ https://bhutan.travel พร้อมเปิดตัวแบรนด์ของประเทศอย่าง Believe เล่าเรื่องดินแดนมนตราแห่งเทือกเขาหิมาลัยผ่านแง่มุมต่างๆ ของการเดินทาง
ประเทศภูฏานมีอากาศเย็นตลอดทั้งปีและมีครบทั้ง 4 ฤดู คือ ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ย 1-13 องศาเซลเซียส), ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 8-20 องศาเซลเซียส), ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 15-25 องศาเซลเซียส) และฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิเฉลี่ย 12-21 องศาเซลเซียส) ซึ่งในแต่ละฤดูนั้นมีความสวยงามและกิจกรรมให้ทำต่างกัน เช่น ฤดูร้อนของภูฏานจะเต็มไปด้วยความเขียวขจีจากเกษตรกรรม มีกิจกรรมภายเรือยางในแม่น้ำ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัย ส่วนฤดูหนาวก็เป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้จากเมืองหลวง และมีเทศกาลท้องถิ่นมากมายให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วม ส่วนเสื้อผ้าที่จะแพ็กใส่กระเป๋าไปควรเตรียมให้เหมาะกับอากาศในแต่ละฤดู
วีซ่าและค่าธรรมเนียม
นักท่องเที่ยวทุกคนจำเป็นต้องขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศ (ยกเว้นแค่บางกรณี เช่น ได้รับหมายเชิญอย่างเป็นทางการจากชาวภูฏาน) โดยมีค่าธรรมเนียม 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อคน (ประมาณ 3,700 บาทต่อวัน) ลดลงจากเดิมถึง 50% เพราะเคยมีอัตราอยู่ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อคน คนไทยเรียกค่าธรรมเนียมนี้ว่า ‘ค่าเหยียบแผ่นดิน’ ซึ่งฟังแล้วดูเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวมากๆ ทั้งที่จริงๆ ในภาษาอังกฤษนั้นระบุไว้ว่าเป็น Sustainable Development Fee หรือค่าธรรมเนียมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยรัฐจะนำเงินส่วนนี้ไปสมทบในกองทุนเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นสวัสดิการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ เช่น สวัสดิการเรียนฟรีและสวัสดิการรักษาฟรีสำหรับทุกคน
ขั้นตอนการขอวีซ่า ชำระค่าธรรมเนียม และติดต่อผู้นำเที่ยว สามารถทำได้ด้วยตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://bhutan.travel/visa
สายการบิน
รู้ไหมว่ามีเส้นทางบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินพาโรของภูฏาน โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น และมีตารางบินจากกรุงเทพฯ มากถึง 6 วันต่อสัปดาห์ โดยเครื่องบินจะเป็นแบบที่นั่ง 3-3 ทั้ง Drukair และ Bhutan Airlines แต่สิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนใครคือ ไฟลต์ที่ออกจากกรุงเทพฯ จะแวะที่เมืองใดเมืองหนึ่งของอินเดียก่อนเพื่อรับ-ส่งผู้โดยสาร และจะมีการ ‘เปลี่ยนตัวนักบิน’ ผู้ผ่านการอบรมและผ่านการรับรองแล้วว่าสามารถลงจอดที่สนามบินพาโรได้ เพราะเป็นสนามบินขนาดเล็ก ตั้งอยู่กลางหุบเขา และนับเป็นหนึ่งในสนามบินสุดท้าทายที่หลายคนพูดถึง
มีอะไรน่าเที่ยวในภูฏาน
ธีมหลักของการท่องเที่ยวในประเทศภูฏานคือ ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม แผนการท่องเที่ยวสุดคลาสสิกสำหรับนักเดินทางหน้าใหม่ผู้มาเยือนภูฏานครั้งแรกคือ ทิมพู (เมืองหลวงปัจจุบันของภูฏาน), พูนาคา (เมืองหลวงในอดีตที่เต็มไปด้วยเรื่องราว) และพาโร (ประตูสู่ภูฏานจากเส้นทางการค้าโบราณ)
การเดินทางมีเพียงรถยนต์เท่านั้น ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่รถยนต์แบบ 4 ที่นั่งสำหรับนักเดินทางประมาณ 2 คน (เพราะต้องเผื่อที่ไว้จัดเก็บสัมภาระด้วย) หากนักเดินทางในกลุ่มมีจำนวนมากจะนิยมใช้รถโคสเตอร์หรือมินิบัสที่เราคุ้นเคย โดยสารได้ประมาณ 6-8 คน โดยส่วนมากจะมีเจ้าหน้าที่เดินทางไปด้วยกัน 2 คน คือ ไกด์และคนขับรถ
ถนนเชื่อมระหว่างเมืองจะเลียบริมหน้าผา มองเห็นวิวทิวทัศน์ธรรมชาติตลอดเส้นทาง มีขนาดประมาณ 2-4 เลน ซึ่งนับเป็นถนนหลวงที่ทุกคนในประเทศใช้คมนาคม การเที่ยว 3 เมืองให้ครบพร้อมเช็กอินสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญควรมีเวลาประมาณ 5 วัน 4 คืน
อาหารภูฏาน
อาหารภูฏานเป็นการผสมผสานหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน เพราะภูฏานตั้งอยู่ระหว่างสองประเทศสำคัญ ซึ่งเป็นต้นธารแห่งวัฒนธรรม นั่นคือจีนและอินเดีย คนภูฏานนิยมกินข้าวและอาหารประเภทเส้น และมักมี ‘พริก’ เป็นส่วนผสมหลักในอาหารเกือบทุกเมนู ภาพรวมของอาหารภูฏานจะเน้นความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และกว่า 70% ของอาหารภูฏานเป็นเมนูมังสวิรัติ ผักสดและสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนภูฏานปลูกและผลิตเองในประเทศ นักเดินทางหลายคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาหารจานผักที่นี่อร่อย หวาน สด และกรอบ เนื่องจากกระบวนการเพาะปลูกในประเทศเป็นแบบออร์แกนิกร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นแนวทางที่เกษตรกรทุกคนยึดถือ
สำหรับเมนูขึ้นชื่อของเขาคือ Ema Datshi หรือพริกผัดชีส ซึ่งถูกยกให้เป็นอาหารประจำชาติ เพราะกินกันทุกครัวเรือนและต้องมีเป็นกับข้าวเกือบทุกมื้อ และ Momo หรือเกี๊ยวภูฏาน อาหารว่างสไตล์ทิเบต ทำมาจากแป้งสาลี ไส้ด้านในเป็นได้ทั้งหมู กะหล่ำปลี และชีส
โรงแรมที่พัก
แม้ว่าภูฏานจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่เชื่อไหมว่ามีประเภทของที่พักให้เลือกทุกระดับและหลายราคา ตั้งแต่พักราคาประหยัดเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาทต่อห้องต่อคืน ไปจนถึงรีสอร์ตระดับ 6 ดาวคืนละแสน ซึ่งตอบสนองความต้องการของนักเดินทางที่ต่างกันออกไป โดยเราแนะนำนักเดินทางหน้าใหม่ว่าควรเลือกโรงแรมในเมืองที่ทิมพูและพาโรเพื่อความสะดวกสบาย ส่วนการพักที่พูนาคานั้นแนะนำแบบโฮมสเตย์ เพราะจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนภูฏานอย่างใกล้ชิด
เทศกาลประจำปี
นักท่องเที่ยวสายเทศกาลต้องถูกใจสิ่งนี้ เพราะภูฏานมีเทศกาลรื่นเริงให้ชมเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งแบ่งเป็นเทศกาลทางวัฒนธรรมที่จะจัดขึ้นในเมืองต่างๆ และเทศกาลเพื่อเฉลิมฉลองให้กับความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เช่น เทศกาลดูนกกระเรียนคอดำและเทศกาลเห็ดสนป่า ฯลฯ สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับวันและสถานที่ของเทศกาลทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ https://bhutan.travel/journal
มาภูฏานให้ได้สักครั้งในชีวิต
ไม่เกินจริงเลยหากมีคนบอกว่าคุณควรมาภูฏานสักครั้งในชีวิต แม้ว่าจิตใต้สำนึกแรกจะรู้สึกว่า “นี่มันเป็นการเที่ยวที่ราคาสูงมาก” แต่ความคุ้มค่าของการมาภูฏานคือ ความสบายใจและความสะดวกสบายกว่าที่คิด ที่นี่ไม่มีนักท่องเที่ยวที่แออัด ไม่มีมลพิษทางเสียง การอยู่ที่ภูฏานเพียงไม่กี่วันทำให้เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างถึงที่สุด ได้รับอากาศอันบริสุทธิ์ เพราะเป็นประเทศที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่าการกักเก็บ ได้การเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ และได้รับพลังงานบวกจากคนภูฏานทุกคน และอัตราการเกิดคดีอาชญากรรมที่แทบจะเป็นศูนย์นั้นคงสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่าประเทศนี้สงบและปลอดภัยแค่ไหน
มาสักครั้งให้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติกับตา แล้วจะรู้สึกว่าคุ้มแล้วที่เกิดมาบนโลกใบนี้!
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่: 10 เหตุผลที่เราควรเที่ยวภูฏานสักครั้งในชีวิต
ภาพ: นิรัช ตรัยรงคอุบล