โครงการ Lost 52 ซึ่งมีเป้าหมายค้นหาเรือดำน้ำสหรัฐอเมริกาจำนวน 52 ลำที่สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้นำไปสู่การค้นพบซากเรือ ‘USS Harder’ ที่จมลงใต้ทะเลจีนใต้มานาน 80 ปี ที่ระดับความลึก 914 เมตร บริเวณนอกชายฝั่งเกาะลูซอนทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์
USS Harder ถือเป็นเรือดำน้ำของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่สามารถจมเรือรบญี่ปุ่นได้มากที่สุดในช่วงเวลานั้น และมีส่วนสำคัญที่ทำให้กองทัพญี่ปุ่นเปลี่ยนแผนการรบทางทะเล ก่อนที่เรือดำน้ำลำนี้จะจมลงจากการสู้รบครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 1944 พร้อมลูกเรืออีก 79 ชีวิต
ซามูเอล เจ. ค็อกซ์ อดีตพลเรือเอกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้ากองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกของกองทัพเรือสหรัฐฯ (NHHC) ระบุว่า “USS Harder พ่ายแพ้บนเส้นทางแห่งชัยชนะ เราต้องไม่ลืมว่าชัยชนะนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย เช่นเดียวกับเสรีภาพ”
พลเรือจัตวา แซม ดีลลีย์ กัปตันเรือ USS Harder พร้อมลูกเรือ ต่างได้รับรางวัล Presidential Unit Citation เพื่อเชิดชูเกียรติและวีรกรรมที่กล้าหาญในช่วงศึกสงคราม
พื้นที่บริเวณฟิลิปปินส์ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิหลักของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยสหรัฐฯ ส่งกองกำลังเข้าต่อสู้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น เพื่อปกป้องอาณานิคมเดิมของตนเองจากการแผ่ขยายอำนาจของ ‘ฝ่ายอักษะ’ ซึ่งมีกำลังหลักคือ กองทัพนาซีเยอรมนี, อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น ก่อนที่ ‘ฝ่ายสัมพันธมิตร’ ซึ่งมีสหราชอาณาจักร, สหภาพโซเวียต และสหรัฐฯ เป็นแกนหลัก จะคว้าชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปได้ในท้ายที่สุด
ก่อนหน้านี้โครงการ Lost 52 ยังค้นพบซากเรือดำน้ำสหรัฐฯ อีกหลายลำ เช่น เรือ USS R-12 (SS-89) ใต้ทะเลนอกรัฐฟลอริดา เมื่อเดือนตุลาคม 2010, เรือ USS Grunion (SS-216) ใต้ทะเลแถบรัฐอะแลสกา เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 และเรือ USS Grayback (SS-208) ในน่านน้ำทะเลโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2019
ภาพ: Lost 52 Project / US Navy
อ้างอิง: