ราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้อาจเป็นข่าวใหญ่ที่ทุกคนจับตามอง แต่จริงๆ แล้ว ‘ราคาเงิน’ ต่างหากที่กำลังวิ่งแซงหน้าทองคำไปอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการทางการเงินและอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง จนราคาพุ่งขึ้นกว่า 25% ในปีนี้ แซงหน้าทองคำและกลายเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดของปี
ราคาเงินพุ่งขึ้น 3.3% สู่ระดับ 30.55 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 1,109 บาท) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2013 ขณะที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับ 2,405.18 ดอลลาร์ (ประมาณ 87,356 บาท)
ปัจจุบัน อัตราส่วนทองคำต่อเงินอยู่ที่ประมาณ 80:1 ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เงิน 80 ออนซ์เพื่อซื้อทองคำ 1 ออนซ์ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปีที่ 68:1
นักวิเคราะห์จาก Citigroup Inc. คาดการณ์ว่า หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี อัตราส่วนนี้อาจลดลงเหลือประมาณ 70:1
เงินมีลักษณะเฉพาะตัวที่เป็นได้ทั้งสินทรัพย์ทางการเงินและวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในอุตสาหกรรมนี้ทำให้คาดว่าการใช้เงินจะทำสถิติสูงสุดในปีนี้
เกรกอร์ เกรเกอร์เซน ผู้ก่อตั้ง Silver Bullion Pte. กล่าวว่า ลูกค้าที่สนใจซื้อทองคำเริ่มหันมาสนใจซื้อเงินแทน โดยรอให้อัตราส่วนราคาทองคำต่อเงินปรับสมดุลกลับมา
ผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งโดยปกติจะพึ่งพาเหมืองในการจัดหาแร่เงิน ก็หันมาซื้อจากแหล่งอื่นๆ เช่น คลังสินค้าของ London Bullion Market Association (LBMA) ซึ่งทำให้ปริมาณสำรองลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในเดือนเมษายน ขณะที่ปริมาณในตลาดหุ้นนิวยอร์กและเซี่ยงไฮ้ใกล้แตะระดับต่ำสุดตามฤดูกาล
TD Securities คาดการณ์ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า ปริมาณสำรองของ LBMA อาจหมดลงหากความต้องการยังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน
เกรกอร์เซนกล่าวว่า “เราจะค่อยๆ เห็นอุปทานตึงตัวขึ้น เพราะความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะสูงขึ้น หากนักลงทุนเริ่มซื้อด้วย ผมคิดว่าในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าปัญหาใหญ่ที่สุดของผมอาจกลายเป็น ‘ฉันจะหาอุปทานจากที่ไหน’ แทนที่จะเป็นฉันจะขายเงินอย่างไร”
ภาพ: Sven Hoppe / picture alliance via Getty Images
อ้างอิง:
