วันนี้ (18 พฤษภาคม) ตามเวลาท้องถิ่นเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพมหานคร 5 ชั่วโมง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภารกิจการเยือนโรงงานของห้องเสื้อ ZEGNA เมืองวัลดิลานา และพบปะหารือกับ จิลโด เซนญา ผู้บริหารของห้องเสื้อ ZEGNA ว่าได้เดินทางไปโรงงานผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้านแฟชั่นชื่อ ZEGNA ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านการทำผ้าที่เป็นที่นิยมทั้งผ้าวูล (ผ้าขนสัตว์) แคชเมียร์ และผ้าฝ้าย ซึ่งไม่ได้ทำแค่เฉพาะแบรนด์ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งไปให้ Christian Dior, Hermès และ Louis Vuitton แสดงว่าเป็นผู้นำด้านผ้าอย่างแท้จริง โดยมีร้านในไทยที่สยามพารากอนและกำลังจะเปิดสาขาใหม่ เชื่อว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย จึงเป็นที่มาว่าทำไมวันนี้ตนถึงต้องมาเจอ เพราะเขาเข้าใจตลาดไทยและมีความผูกพันกับประเทศไทยพอสมควร
เศรษฐากล่าวอีกว่า วันนี้ตนได้นำผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามจากจังหวัดสกลนครมาเสนอ ซึ่งบริษัทจะส่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ไปสำรวจว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำผ้าย้อมครามมาผลิตภายใต้แบรนด์ของเขาเพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์มาขาย ซึ่งเรื่องของผ้าย้อมครามอยู่ภายใต้โครงการในพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เป็นความภาคภูมิใจของสินค้าพื้นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และสามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งของสินค้า ZEGNA ที่กระจายสินค้าไปทั่วโลกได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะในอีก 2 สัปดาห์ทางบริษัทจะเดินทางไปประเทศไทย
ส่วนการหารือกับผู้บริหารของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก Loro Piana ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ ZEGNA เป็นบริษัทที่ทำเรื่องผ้าเหมือนกัน แต่เน้นหนักไปทางเสื้อผ้าฤดูหนาว ซึ่งปัจจุบันได้หันมาทำเสื้อผ้าฤดูร้อนค่อนข้างเยอะพอสมควร และเมื่อ 7 เดือนที่ผ่านมาได้เปิดร้านที่สยามพารากอนและประสบความสำเร็จอย่างมากมายเกินความคาดหมาย จึงเป็นเหตุผลที่คณะทำงานของตนเลือกมาเจอ และเขาก็ชื่นชมว่าประเทศไทยมีความเข้าใจเรื่องแฟชั่นและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องจักสานที่จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำกระเป๋า หรือผ้าย้อมครามจากโครงการดอนกอย จังหวัดสกลนคร ที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชันในอนาคต และที่น่าสนใจคือ ในปัจจุบันแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกหากมีการปล่อยสินค้าหรือเปิดคอลเล็กชันใหม่จะมีการตั้งป๊อปอัพสโตร์ ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห้างหรืออยู่แบบถาวร โดยจะไปเปิดตามชายหาดหรือสถานที่ต่างๆ ที่มีเวลาจำกัด ซึ่งอาจจะทำที่เชียงใหม่หรือภูเก็ต เป็นการขยายลูกค้า ทำให้มีการท่องเที่ยวที่ดีด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการหารือกับ คาร์โล คาปาซา ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ (Chairman of the National Chamber of italian Fashion) ซึ่งเป็นสมาคมที่ดูแลด้านแฟชั่นทั้งหมดของอิตาลีว่า เป็นที่น่าสนใจ เพราะ GDP ของอิตาลีขึ้นอยู่กับแฟชั่น ซึ่งส่งออกแฟชั่น 90% ขณะที่ 10% ใช้ภายในประเทศ โดยแบรนด์ต่างๆ ที่รวมตัวเป็นสมาคมมีความแน่นแฟ้นและมีการพูดคุยกันตลอดเวลา มีการแลกเปลี่ยนความรู้ มีการจัดนิทรรศการต่างๆ เพื่อให้ความรู้และเชื่อมโยงกับสถาบันสอนแฟชั่นของมิลาน โดยมีการพูดคุยว่าจะนำนักเรียนไทยด้านแฟชั่นมาศึกษาต่อที่นี่
ขณะเดียวกันก็จะมีการช่วยเหลือในการจัดแฟชั่นโชว์ระดับโลกที่เมืองไทย และจะมีการจัดนิทรรศการโดยเอาดีไซเนอร์ทั้งที่มีชื่อเสียงและเป็นรุ่นต่อไปที่จะมีชื่อเสียงจากอิตาลีไปแสดงที่ประเทศไทย รวมถึงจัดให้มีการสอนหนังสือเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นที่ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องที่ดีที่เราพยายามให้เขาเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น
เศรษฐายังกล่าวถึงการหารือกับ อัตติลิโอ ฟอนตานา ผู้ว่าแคว้นลอมบาร์เดีย ว่า เป็นแคว้นที่มี GDP สูงที่สุดในอิตาลี ทั้งเรื่องการเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมหนัง หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ซึ่งเราได้ขอการสนับสนุนให้ไปลงทุนในประเทศไทย โดยในไตรมาส 3 เอกอัครราชทูตไทยประจำอิตาลี จะทำงานร่วมกับ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ประธานผู้แทนการค้าไทย และ BOI จะจัดทีมงานมานำเสนอข้อเสนอและมาตรการสนับสนุนทางภาษี เพื่อให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของอิตาลีย้ายฐานการผลิตหรือขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยบ้าง รวมทั้งนำโครงการที่สำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการอัปเกรดสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก และรถไฟความเร็วสูง หรือแม้กระทั่งโครงการแลนด์บริดจ์ เขาจะเห็นภาพโครงการทั้งหมดว่าเราจะทำอะไรบ้าง และจะสามารถมีส่วนร่วมกับเราตรงไหนได้บ้าง