ตลาดงานศิลปะกลับมาสดใสได้ไม่นานก็เจอพิษเศรษฐกิจผันผวน เริ่มส่งผลกระทบทำให้ยอดขายการประมูลและหอศิลป์ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปี 2022 แต่จีนยังคงโดดเด่นจากมียอดขายผลงานที่มีมูลค่าสูง จนเรียกได้ว่าเป็นตลาดงานศิลปะที่ทรงพลัง
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า จากสภาวะเศรษฐกิจผันผวน หนี้ครัวเรือน ความไม่มั่นคงทางภูมิศาสตร์และการเมือง ส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมของยอดขายงานศิลปะลดลงถึง 4% หรือมียอดขายประมาณ 6,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ทั้งหมดยังไม่รวมถึงผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ลากยาวต่อเนื่อง สะท้อนได้ว่าตลาดอาจจะหดตัวลงต่อเนื่อง
McAndrew ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษา Arts Economics กล่าวว่า ภาพรวมตลาดงานศิลปะในปี 2023 เริ่มกลับสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 29% หลังจากช่วงโควิดที่มียอดขายผลงานลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยเฉพาะงานศิลปะมูลค่าสูง ขณะที่งานศิลปะราคาไม่สูงมากก็ยังมีการซื้อขายกันได้อยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
โดยปัจจุบันตลาดที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา คิดเป็น 42% ของยอดขายทั่วโลก ตามด้วยจีนเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 19% ส่วนอังกฤษเป็นอันดับ 3 มีส่วนแบ่งคิดเป็น 17% และฝรั่งเศสอยู่ในอันดับที่ 4 มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 7%
แม้ในหลายๆ ประเทศตลาดซบเซาลง แต่จีนกลับมีความโดดเด่นและมีการค้าขายผลงานที่มีมูลค่าสูง จนเรียกได้ว่าเป็นตลาดงานศิลปะที่ทรงพลัง และจีนก็ให้ความสำคัญกับตลาดนี้มากหลังจากจีนได้แซงอังกฤษขึ้นมาเป็นตลาดค้างานศิลปะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ที่สำคัญคือหนึ่งในสามของงานประมูลศิลปะของโลกจัดขึ้นที่จีน
ด้าน Noah Horowitz ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Art Basel กล่าวว่า จากนี้การชะลอตัวของตลาดอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแกลเลอรีอย่างรุนแรง ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าเช่าพื้นที่ การดูแล การขนส่ง ส่งผลให้มีรายจ่ายสูงกว่าราคาขายงาน ซึ่งทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ฝั่งเจ้าของงานศิลปะบอกกับนักวิจัยว่า ยอดขายรวมของพวกเขาลดลงประมาณ 3% ต่อปี หรือคิดเป็น 36,000 ล้านดอลลาร์ แต่ในทางกลับกันการซื้อขายงานที่มีมูลค่า 5 แสนดอลลาร์ กลับมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12%
อ้างอิง: