ในหนังสือราชการลับที่สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยส่งถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย ลงวันที่ 1 มีนาคม 2024 นั้น มีเนื้อความระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาขอคัดค้านอย่างรุนแรงต่อรัฐสภาของไทยที่จะจัดสัมมนาดังกล่าว โดยระบุว่า จะสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างเมียนมากับไทย และขอให้รัฐบาลไทยแจ้งให้รัฐสภาทราบถึงความกังวลของรัฐบาลเมียนมา และไม่ให้จัดกิจกรรมใดๆ ที่อาจขัดขวางความสัมพันธ์อันดีในอนาคต
สำหรับงานสัมมนาเมื่อวานนี้ ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดิมมีกำหนดขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ แต่ได้ยกเลิกหมายดังกล่าวไปโดยไม่ได้ระบุเหตุผล
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น เช่นเดียวกับโฆษกกองทัพเมียนมาที่ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2021
ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การสัมมนาที่รัฐสภาจัดขึ้นนั้นขัดแย้งกับความต้องการของรัฐบาลไทยที่ต้องการจะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลทหารเมียนมา โดยการทำงานร่วมกับกองทัพเมียนมาและกลุ่มอื่นๆ เพื่อปูทางไปสู่การเจรจาร่วมกัน
“การสัมมนาที่จัดโดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐสภาเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยมากขึ้น” รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
สำหรับงานดังกล่าว รัฐสภาไทยได้เชิญตัวแทนของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมามาร่วมพูดคุยด้วย
“สิ่งที่เราทำในวันนี้เป็นก้าวแรกในการนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ มาพูดคุยกัน” รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้จัดการสัมมนา กล่าว “มันจะปูทางไปสู่การแก้ปัญหาทางการเมืองสำหรับเมียนมาอย่างสันติและยั่งยืน”
การสัมมนา ‘3 ปีหลังรัฐประหาร สู่ประชาธิปไตยเมียนมา และผลกระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย’ จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ในวันที่ 2-3 มีนาคม 2024 วิทยากรประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) หรือรัฐบาลเงาเมียนมา และกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ไม่มีตัวแทนจากรัฐบาลเมียนมา
ภาพ: Sefa Karacan / Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: