ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เริ่มร้อนแรง ส่งผลให้การค้าโลกเปลี่ยนทิศทาง แต่กลับผลักดันให้ภูมิภาคอาเซียนก้าวขึ้นมาเป็นตลาดใหม่ที่เนื้อหอมอย่างรวดเร็ว สามารถดึงดูดเม็ดเงินของทุนต่างชาติได้ไม่น้อย และน่าสนใจว่าในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์หลักจากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนมากที่สุดในเวลานี้
แล้วไทยอยู่ตรงไหน?
เมื่อศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์การลงทุนต่างประเทศ (FDI) ในตลาดอาเซียน สรุปว่า แม้ว่าเม็ดเงิน FDI ในอาเซียนจะลดลงในปี 2566 แต่ FDI ในภาคอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียและเวียดนามยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฉายภาพ FDI โลกมีแนวโน้มลดลงจากภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งปี 2566 มูลค่า FDI โลกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (3%) จากฐานที่ต่ำ และเป็นการเพิ่มขึ้นในตลาดยุโรป ขณะที่ภูมิภาคอื่นหดตัวลงต่อเนื่อง
ขณะที่ FDI จีนชัดเจนว่าเริ่มลดลงจากการปิดโรงงานของบรรษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปในจีนกว่า 10,900 บริษัทปิดตัวลงไป
อินโดนีเซียและเวียดนามดาวเด่น
ขณะที่การลงทุนต่างชาติในอาเซียนก็พบว่า อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์สูงสุดจากการย้ายฐานผลิตออกจากจีน เมื่อเทียบกับไทยและมาเลเซียที่ลดลง
เมื่อย้อนดูมูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิสะสมในช่วงปี 2561 จนถึงเดือนมกราคม-กันยายน 2566 ของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 21.4% ขณะที่เวียดนามเพิ่มขึ้น 44.1% เมื่อเทียบกับช่วงปี 2555-2560
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- “ผมขอเวลา 6 เดือน ผมหวังว่าจะเปลี่ยนใจพวกเขาได้” ถอดบทสนทนาตอนหนึ่งของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ กับความในใจ…
- เปิดบันทึก FDI ย้อนหลัง 10 ปี ‘ไทย’ อยู่ตรงไหน เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน
- ไขคำตอบ ทำไมเสน่ห์และความสามารถในการแข่งขันไทยค่อยๆ เลือนหาย ‘กับดักเศรษฐกิจไทย (บางเรื่อง)’…
แต่ในทางตรงกันข้าม มูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิสะสมของไทย ‘ลดลง’ 20.3% เช่นเดียวกับมาเลเซียที่ลดลง 15.3%
ปัจจัยหลักๆ มาจากการกระจุกตัวในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึง
- การปิดกิจการของธุรกิจต่างชาติ เช่น การขายกิจการของปั๊ม ESSO
- การปิดโรงงานของบริษัทต่างชาติในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
โดยช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2566 มูลค่า FDI ไหลเข้าสุทธิของไทยรวม 4,438 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ที่มีเม็ดเงินเข้ามา 9,011 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น
- อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 1,465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)
- อุตสาหกรรมปิโตรเคมี -1,372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)
- อุตสาหกรรมยานยนต์ -522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง)
อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะในด้านมูลค่าเม็ดเงิน FDI ไหลเข้า ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุน ‘อุตสาหกรรมแห่งอนาคต’ จากมูลค่า FDI ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ปี 2566 ยังคงเพิ่มขึ้น 72% มาอยู่ที่ระดับ 6.6 แสนล้านบาท มาจาก
- อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3.4 แสนล้านบาท (+265%)
- อุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ 8.4 หมื่นล้านบาท (-22%)
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นยังคงสะท้อนว่า เวียดนามและอินโดนีเซียยังคงเป็นแหล่งดึงดูดเม็ดเงิน FDI ในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียน
ดังนั้น หลังจากนี้ไทยควรเร่งออกนโยบายที่เอื้อแก่การลงทุนมากขึ้น เช่น การลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อนของเอกสารในการขอใบอนุญาตต่างๆ เพื่อเอื้อต่อนักลงทุน โดยเฉพาะลดขั้นตอนในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมทั้งการเร่งความคืบหน้าการเจรจาความตกลงทางการค้า (FTA) โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (EU)
ไทยเสี่ยงสูญเสียสถานะผู้นำทางเศรษฐกิจภูมิภาค
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายทุกมิติ โดยเฉพาะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงประมาณ 3% ต่อปี มากกว่ามาเลเซียและจีนที่ 5% ต่อปี เนื่องจากขาดความสามารถในการแข่งขันและเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติ
“หากการเติบโตที่ช้าและติดกับดักอยู่เช่นนี้ ประเทศไทยก็จะสูญเสียสถานะการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่”
จุดที่น่าสนใจคือ การลงทุนจากต่างประเทศในไทยน้อยลงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) อย่างมาก เพราะกฎหมายและหลายๆ ปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน มากไปกว่านั้น ประเทศไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม
“ไทยเคยเป็นผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้านการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัจจุบันไทยได้สูญเสียสถานะดังกล่าวให้กับเวียดนามแล้ว และเรากำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลังและเริ่มทิ้งห่างออกไปไกล”
ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจช่วยได้เล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น หากจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจ (GDP) เติบโตที่ 4.5% ต่อปี จะต้องได้รับแรงหนุนจากการลงทุน การปรับโครงสร้างการผลิต นวัตกรรมใหม่ๆ และกระจายภาคการท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองรอง
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมไทยเริ่มหมดเสน่ห์เนื่องจากกฎหมายล้าหลัง ค่าไฟ-ค่าแรงไทยแพง และจำนวนแรงงานไทยไม่เพียงพอ แม้ไทยมีจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ แต่ต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนและสร้างมูลค่าเศรษฐกิจใหม่
นี่อาจเป็นหนึ่งโจทย์ใหญ่ของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หรือไม่ เพราะในการเข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว เศรษฐาประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วง 4 ปีต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี และมั่นใจว่าภายใน 6 เดือนจะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาให้ได้มากที่สุด
ณ วันนี้ หนึ่งสิ่งที่สะท้อนการเติบโตระยะสั้น จากคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ล่าสุด (19 กุมภาพันธ์ 2567) สภาพัฒน์ระบุว่า ปี 2566 ขยายตัวได้เพียง 1.9% อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังยืนอยู่จุดไหนในภูมิภาค
เพราะน่าห่วงหรือไม่ว่า นอกจาก FDI ที่ลดลง ตัวเลขย้อนหลัง 10 ปี GDP ไทยยังคงขยายตัวเพียง 2-3%
แทบจะอยู่รั้งท้ายเพื่อนบ้านอาเซียน
อ้างอิง: