เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) รายงานกำไรสุทธิ 4.6 พันล้านบาท ใน 1QFY67 (ตุลาคม-ธันวาคม 2566) เพิ่มขึ้นอย่างมากจากกำไรสุทธิ 343 ล้านบาท ใน 1QFY66 และเพิ่มขึ้น 33%QoQ โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวไทยที่ปรับตัวดีขึ้น และจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิออกมาต่ำกว่าคาด โดยมีสาเหตุมาจากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น
สำหรับรายการที่สำคัญใน 1QFY67 มีดังนี้
- ใน 1QFY67 AOT รายงานจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งหมด 28.9 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 25%YoY และเพิ่มขึ้น 13%QoQ, 81% ของระดับก่อนเกิดโควิด) ซึ่งประกอบด้วยผู้โดยสารระหว่างประเทศ 16.9 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 54%YoY และ 13%QoQ, 83% ของระดับก่อนเกิดโควิด) และผู้โดยสารภายในประเทศ 12.0 ล้านคน (ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น 12%QoQ, 79% ของระดับก่อนเกิดโควิด)
- รายได้ค่าบริการผู้โดยสาร (35% ของรายได้) เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 52%YoY และเพิ่มขึ้น 13%QoQ สู่ 5.5 พันล้านบาท สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ (35% ของรายได้) อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 140%YoY หลังจากบริษัทกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 แต่ลดลง 2%QoQ จากฐานที่สูงมากเป็นพิเศษใน 4QFY66 (จากการปรับปรุงรายการในช่วงสิ้นปีบัญชี) หากตัดรายการดังกล่าวออกไป พบว่ารายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์เติบโตได้ 5%QoQ
- อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 45.6% ใน 1QFY67 เพิ่มขึ้นจาก 21.4% ใน 1QFY66 และ 39.5% ใน 4QFY66 แต่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีสาเหตุมาจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น และค่าเสื่อมราคาที่เกี่ยวข้องกับการขยายอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ที่สูงขึ้น
กระทบอย่างไร:
หลังรายงานผลประกอบการ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ราคาหุ้น AOT ปรับลดลง 3.07% สู่ระดับ 63.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.17% สู่ระดับ 1,391.73 จุด
แนวโน้มผลประกอบการ FY2567:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรของ AOT ลดลง 9% ในปี FY2567 และ 7% ในปี FY2568 เพื่อสะท้อนต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น แต่ยังคงมุมมองที่ว่ากำไรของ AOT กำลังจะกลับคืนสู่แนวโน้มขาขึ้น โดยกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสู่ 2.3 หมื่นล้านบาท ในปี FY2567 อ้างอิงจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ 75.6 ล้านคน ส่วน 2QFY67 (มกราคม-มีนาคม 2567) กำไรยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ากำไรปกติจะเติบโต YoY และ QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทย: จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศของ AOT เพิ่มขึ้นสู่ 82% และ 85% ของระดับก่อนเกิดโควิด ในเดือนมกราคม และ 1-10 กุมภาพันธ์
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น AOT ที่ปรับตัวลดลง มองว่าเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้น เนื่องจากมองว่ากำไรของ AOT กำลังจะกลับคืนสู่แนวโน้มขาขึ้น โดยกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดในปี FY2567 สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงคำแนะนำ Tactical Call ระยะ 3 เดือนที่ Outperform สำหรับ AOT โดยปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ใหม่เป็น 80 บาทต่อหุ้น (ลดลงจาก 84 บาทต่อหุ้น หลังจากปรับประมาณการกำไร)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ความต้องการเดินทางลดลง ส่วนความเสี่ยงประเด็นสำคัญด้าน ESG คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (E) และประเด็นด้านสังคม เช่น ความปลอดภัย (S)