เป็นประจำทุกต้นปีที่ ‘บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI’ ผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย จะออกมาเปิดเผยถึงทิศทางการทำธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในปีดังกล่าว
สำหรับปี 2567 นั้น แสนสิริได้ใช้ธีมของงานแถลงว่า ‘NAVIGATING THE FUTURE: RESILIENT GROWTH’ แน่นอนส่วนแรกย่อมหมายถึงการที่แสนสิริกำลังก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 40 ซึ่งหากเปรียบก็เป็นวัยกลางคนที่พร้อมเผชิญทุกความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโต
แต่อีกคำหนึ่งที่น่าสนใจมากสำหรับ THE STANDARD WEALTH คือคำว่า ‘RESILIENT GROWTH’ ในภาษาอังกฤษหมายถึงการเติบโตหรือการพัฒนาที่แข็งแกร่ง และสามารถฟื้นตัวได้ดีหลังจากเผชิญกับความท้าทายหรือความยากลำบาก
สำหรับในภาษาไทย คำแปลที่สละสลวยตามรากศัพท์สามารถเป็นไปได้หลายแบบ แต่หนึ่งในคำแปลที่สื่อความหมายได้ดีคือ ‘การเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง’ หรือ ‘การพัฒนาที่ฟื้นตัวได้ดีและยั่งยืนต่อไป’ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและการฟื้นฟูจากสถานการณ์ที่ท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
คำแปลนี้ตรงกับสิ่งที่ อภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาเกริ่นในช่วงต้นของงานแถลงข่าวว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่แสนสิริก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 กว่าจะเป็นแสนสิริ องค์กรชั้นนำที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายการเข้าทำงานของคนรุ่นใหม่ ได้ผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง
“สำหรับแสนสิริ วิกฤตกับโอกาสเป็นของคู่กัน ทุกวิกฤตทำให้เราแข็งแกร่งและเติบโตขึ้น เราไม่ได้เติบโตเพราะอยู่นาน แต่เป็นเพราะเราพร้อมเปลี่ยนแปลง รวดเร็ว ต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพของคนที่ถูกบ่มเพาะ ภายใต้ดีเอ็นเอเดียวกันคือ SPEED TO MARKET, ATTENTION TO DETAIL และ WORK FROM HEART”
ด้วยแนวทาง ‘RESILIENT GROWTH – ยืนหยัด ยั่งยืน’ อภิชาติย้ำว่า แสนสิรินำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม มาต่อยอดธุรกิจ และขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคอย่างตรงใจและโดดเด่นเหนือคู่แข่ง โดยมีเป้าหมายกำไรสุทธิที่คาดว่าแสนสิริจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี
แน่นอนคำถามที่ตามมาคือ อะไรที่จะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ ‘แสนสิริ’ เราจึงอยากชวนทุกคนร่วมหาคำตอบไปพร้อมๆ กันในบทความนี้!
เรารักษาระดับการเติบโตที่ดี ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ความมั่นใจแรกของแสนสิริมาจากคำพูดของ อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า แสนสิริยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด
“ทิศทางดังกล่าวส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในปี 2566 ได้ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถ Sold Out ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท”
สำหรับโครงการที่เปิดตัวมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จแบรนด์นาราสิริและบูก้าน ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ตลอดจนการรีเฟรชแบรนด์เศรษฐสิริและดีคอนโด ส่วนการเปิดตัวโครงการแนวสูงนั้นก็มีการเปิดตัว ‘ดีคอนโด’ ซีรีส์ใหม่ 6 โครงการ 6 ทำเลศักยภาพทั่วประเทศ รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,300 ล้านบาท เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัยและแหล่งงาน ทั้งในกรุงเทพฯ หาดใหญ่ และภูเก็ต รวมถึงการกลับมาของคอนโดมิเนียมระดับบน ได้แก่ ชูช์ ราชเทวี และเวีย อารีย์ ตลอดจนคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่
สำหรับปี 2567 แสนสิริรุดหน้าขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักชัวรีมากขึ้น
“เราตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท” อุทัยกล่าว
เป็นตัวเลขที่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มากเกินความสามารถของแสนสิริที่จะทำได้!
กลุ่มแนวราบขยายไปลักชัวรีมากขึ้น
ขยายให้เห็นภาพมากขึ้น กลุ่มธุรกิจแนวราบวางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลต์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี ‘นาราสิริ บางนา กม.10’ มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45-70 ล้านบาท
รวมถึงต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี กับการเปิดตัวเศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท นำร่องด้วยเศรษฐสิริ วัชรพล-เทพรักษ์ โครงการใหม่สไตล์ Georgian ใกล้ทางด่วน ใจกลางวัชรพล มูลค่า 2,700 ล้านบาท ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาระดับซูเปอร์ลักชัวรีและลักชัวรีไทยตัวจริง
พร้อมกันนี้เดินหน้ารุกตลาดแนวราบในระดับราคาเข้าถึงง่าย ผ่านการเปิดตัวสราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท กับจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท เพื่อส่งมอบโปรดักต์อย่างครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม
ขณะเดียวกันแสนสิริจ่อคิวขยายพอร์ตแนวราบ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘ณริณสิริ’ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และ ‘มาเบิล’ (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท
เตรียมพบ ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’
สำหรับกลุ่มธุรกิจแนวสูง แสนสิริเคาะแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รุกแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลต์ดังนี้
เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีขึ้นไป ได้แก่ การเปิดขาย ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’ มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูติกโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก
และการเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายน้อย ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61 ตลอดจนการลุยต่อตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่ายอย่างแบรนด์แคมปัสคอนโด กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท
และการพัฒนาโครงการคอนโดในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟ และคอนโดมีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เตรียมความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่กับการรีเฟรชแบรนด์เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่าราว 3,600 ล้านบาท
ตั้งตารอได้เลย ปีนี้ทุกโครงการของแสนสิริจะต้อง ‘ทอล์กออฟเดอะทาวน์’ อย่างแน่นอน
เดินหน้าในพันธกิจสีเขียว
การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยในเรื่องของสิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social) และการกำกับดูแลที่ดี (Governance) ซึ่งเรียกว่า ESG ทั้ง 3 ปัจจัยนี้เป็นหลักในการประเมินความยั่งยืนและความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
การให้ความสำคัญกับ ESG ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นการสร้างความไว้วางใจและภาพลักษณ์ที่ดีต่อผู้บริโภคและนักลงทุนอีกด้วย
สำหรับแสนสิริเองก็เดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า แสนสิรินั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่านการขับเคลื่อน 4 แก่นสำคัญคือ ‘Process-Product-Partner-Investment’
และอีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญคือการส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์ และที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงาน
โดยหนึ่งครัวเรือนสามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 18% ต่อปี และได้วางเป้าขยายผลสู่คอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะ เบสทุกโครงการใหม่ในปี 2567 ที่ส่วนกลางของโครงการจะมีการนำแนวทาง Green Living Designed Home ไปต่อยอดในการดำเนินงาน และตั้งเป้าสู่การลดการใช้พลังงานในช่วงแรกให้ได้ราว 6%
เมื่อมีขุนศึกที่แข็งแกร่ง ย่อมต้องมีกุนซือที่รอบรู้อยู่ด้วย
แน่นอนหากเปรียบการเปิดโครงการใหม่ๆ เป็นขุนศึก สิ่งที่มาคู่กันในตำราพิชัยสงครามคือการมี ‘กุนซือ’ ที่รอบรู้อยู่ด้วย
การเปรียบเทียบ ‘ขุนศึก’ และ ‘กุนซือ’ ในโลกธุรกิจนั้นเหมือนกับการมองเห็นความสำคัญของการรวมกันระหว่างพลังและกลยุทธ์ ในสนามรบของธุรกิจ ขุนศึกคือผู้ที่มีความสามารถในการนำพาทีมหรือโครงการด้วยความกล้าหาญและความเข้มแข็ง มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในทางตรงกันข้าม กุนซือในโลกธุรกิจคือผู้มีวิสัยทัศน์ ผู้ที่มองเห็นภาพรวมของสนามรบและสามารถวางแผนระยะยาวได้ กุนซือเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในด้านต่างๆ ของธุรกิจ ตั้งแต่การเงิน การตลาด ไปจนถึงการบริหารจัดการ พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างกลยุทธ์และแผนการที่ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเหล่านั้นให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อขุนศึกที่เก่งกาจและกุนซือที่รอบรู้ทำงานร่วมกัน ธุรกิจจะสามารถเผชิญหน้ากับทั้งความท้าทายในระยะสั้นและมีความพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะยาว
หากจะถามถึงกุนซือของแสนสิริย่อมต้องหมายถึง ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากก่อนหน้านี้หยุดชะงักไปในช่วงโควิด
“อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือเรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจก็อาจจะมาจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม”
3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร
เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แสนสิริยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย
- รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหา) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้ นอกจากนี้แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต จากสถิติการจ่ายปันผลที่ผ่านมา พบว่า Dividend Yield ปี 2566 อยู่ที่ 12.4%
- บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขายให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา และเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า
ภายใต้กลยุทธ์นี้ แสนสิริพร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา และหัวหิน
โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170% สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 ด้วยเช่นกัน รวมถึงหัวหินกับโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน ที่จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้
พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบอีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม.10, ศรีวารี และวงแหวน-ลำลูกกา จากที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว 8 คอมมูนิตี้ คือ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์ – 346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2 – วงแหวน และประชาอุทิศ 90
“ทุกโครงการที่จะเปิดตัวในปี 2567 เรามีที่ดินครบหมดแล้ว อย่างที่รู้กันว่าปัจจุบันที่ดินหายากและมีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี ดังนั้นเราจึงมีการวางแผนเรื่องแลนด์แบงก์ไว้ล่วงหน้า รวมถึงวางแผนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการใหม่ในปีต่อๆ ไปไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาควบคุมต้นทุนในการพัฒนาโครงการได้”
- ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริ เพื่อรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ และทุกโครงการของแสนสิริยังมั่นใจถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกการดูแลจากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง
ในภูมิทัศน์ธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการแข่งขันที่รุนแรง การเติบโตอย่างยั่งยืนหรือ ‘RESILIENT GROWTH’ ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะนำพา ‘แสนสิริ’ สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างสมดุล
ตลอดจนการรักษาผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันถึงความมั่นคงทางการเงิน แต่ยังสะท้อนถึงการจัดการที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพ รวมถึงบทบาทของ ‘แสนสิริ’ ในการเป็น ‘ผู้ให้’ ที่ร่วมเติมเต็มสังคมในทุกมิติ ไม่เพียงแต่สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งสำหรับบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต