หากเอ่ยถึงเศรษฐกิจจีนรวมทั้งฮ่องกงในเวลานี้ หลายคนน่าจะได้ยินข่าวในเชิงลบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
แม้ว่าข่าวร้ายจะยังปกคลุมเศรษฐกิจจีน และยังคาดเดาได้ยากว่าวิกฤตจะผ่านพ้นไปเมื่อใด แต่ในมุมธุรกิจรวมทั้งการลงทุนระหว่างประเทศ ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) เชื่อว่ายังมีโอกาสเปิดกว้างอยู่พอสมควร ซึ่งก็รวมถึงโอกาสสำหรับธุรกิจไทยที่จะออกไปลงทุนในจีน และธุรกิจจีนที่เล็งจะขยายฐานมายังประเทศไทย
จากสถิติเมื่อปี 2022 คู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือจีน ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.88 แสนล้านดอลลาร์
Luanne Lim ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ฮ่องกง เปิดเผยว่า เราเห็นการเติบโตของการใช้เงินหยวนสำหรับการค้าขายและการลงทุนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก
อิงจากข้อมูลของ SWIFT ระบุว่า ปัจจุบันเงินหยวนเป็นสกุลเงินที่ถูกใช้สำหรับการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากดอลลาร์ และเป็นสกุลเงินอันดับ 4 ที่ถูกใช้สำหรับการใช้จ่าย (Payment) รองจากดอลลาร์ ยูโร และปอนด์
“ลูกค้าของเราซึ่งเป็นบริษัทในไทยบอกว่าจีนคือคู่ค้าอันดับต้นๆ และบริษัทเหล่านี้มีแผนที่จะใช้เงินหยวนสำหรับการค้ามากขึ้น ไม่เพียงแค่การค้าเท่านั้น แต่ยังต้องการระดมทุนทั้งในรูปของบอนด์และเงินกู้”
ด้าน Giorgio Gamba ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ธุรกิจและสถาบันต่างๆ ในไทยกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ต้นทุนถูกกว่าดอลลาร์ ซึ่งต้นทุนแพงขึ้นมากในเวลานี้
“ที่ผ่านมาธุรกิจไทยจะกู้ยืมในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนการเงินในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำมาต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันหลายธุรกิจเริ่มสนใจที่จะกู้ยืมในสกุลเงินหยวนมากขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นธุรกิจที่ต้องนำเข้าหรือส่งออกสินค้ากับจีน”
อย่างไรก็ตาม ความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อการหันมาใช้เงินหยวนสำหรับธุรกิจ ไม่ได้สะท้อนว่าต้นทุนการเงินในไทยสูงเกินไป
“ในปี 2024 HSBC ประเมินว่าแบงก์ชาติไทยจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ย โดยอัตราดอกเบี้ยไทยในเวลานี้เป็นระดับที่เหมาะสมต่อการแข่งขันแล้ว ส่วนอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะเห็นการปรับลดลงรวม 0.75% ในปีนี้”
ธุรกิจจีนปักหมุดไทยเพื่อขยายฐานในอาเซียน
Giorgio กล่าวว่า เมื่อปี 2023 เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากจีนเข้ามาไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตอาจเห็นในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันเป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และดิจิทัล
“ทุกวันนี้ผมจะมีมีตติ้งกับลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของเราอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนในการออกไปตั้งฐานการผลิตนอกประเทศจีน ซึ่งพวกเขากำลังมองหาโอกาสในไทย”
Luanne กล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแค่ความสนใจจากบริษัทจีนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย แต่บริษัทไทยก็สนใจที่จะขยายธุรกิจออกไปยังจีนและฮ่องกงเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตและการบริโภค
“จีนมีประชากรที่เป็นกลุ่มคนชั้นกลางมากถึง 400 ล้านคน แม้หลายคนจะบอกว่าเศรษฐกิจจีนชะลอ แต่ก็มีเพียงไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตได้มากกว่า 5.2% เมื่อปีก่อน”
HSBC เชื่อจีนปฏิรูปเศรษฐกิจกำลังเดินมาถูกทาง
Luanne เชื่อว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แม้ว่าอาจจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และคาดเดาได้ยากว่าการชะลอตัวจะจบลงเมื่อใด แต่ความต้องการที่จะเติบโตด้วยอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งที่ยั่งยืนในระยะยาว
ส่วนวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ดำเนินมาราว 2 ปี เชื่อว่าความเสี่ยงได้สะท้อนไปค่อนข้างมากแล้ว หลังจากนี้เชื่อว่าจะไม่ได้มีเรื่องราวที่เหนือความคาดหมายมากๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว
ส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น Luanne เชื่อว่าปีนี้จะมีความผันผวนและยากต่อการคาดเดามากขึ้น โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการที่หลายประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็นประมาณ 40% ของทั้งโลก จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้
นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์หรือปัญหาห่วงโซ่อุปทานยังคงเป็นอุปสรรคที่ภาคธุรกิจกังวล