เราเชื่อว่าหลายคนรู้จัก ‘เต็งหนึ่ง-คณิศ ปิยะปภากรกูล’ ไม่ว่าจะเริ่มจากในบทบาทอะไรก็แล้วแต่ อาจเป็นนักร้องบอยแบนด์วงแรกที่เคยไปตามกรี๊ดหน้าเวที พระเอกซีรีส์จีน หรือครูสอนทำขนมที่ตอนนี้เรียกว่ากลายเป็นงานหลักของเขาไปแล้ว
แต่ไม่ว่าในบทบาทไหน เราก็เชื่อว่าเต็งหนึ่งทำมันด้วยใจรักจริงๆ วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปรู้จักเต็งหนึ่งในอีกบทบาทให้มากขึ้น เพราะเราที่ฟังเพลงของเขาคนนี้มาตั้งแต่ยุคโทรขอเพลงผ่านโทรศัพท์ ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเต็งหนึ่งเป็นคนที่ชอบการเรียนมาก เขารักที่จะทดลองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตามหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองเจอ
ตอนนี้อยู่ในบทบาทอะไรมากที่สุด
ตอนนี้ผมเป็นเชฟทำขนม เป็นครูสอนทำขนม หลักๆ ก็คือทำธุรกิจของตัวเอง คือสตูดิโอสอนทำขนมชื่อ ‘apriltrees studio’ ผมออกจากวงการแล้วประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ อาจมีเล่นละครบ้างนานๆ ที เพราะปกติมีสอนเกือบทุกวัน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาก็อาจมีคลาสไพรเวตบ้าง เพราะบางคนอยากเรียนตัวต่อตัว หรือนักเรียนต่างชาติก็มี
งานในวงการบันเทิงก็ชอบนะ ทุกวันนี้ก็ยังสนุกกับมัน แต่ว่าเราก็โตขึ้น รู้สึกว่าอยากหางานที่มันเป็นของเราจริงๆ
เริ่มสนใจอาชีพเชฟขนมหวานตั้งแต่เมื่อไร
มันเริ่มจากตอนที่ผมยังเป็นนักแสดง ปกติผมเป็นคนอะเลิร์ต ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง ก็เลยเริ่มคิดว่าจริงๆ แล้วในชีวิตนี้ตัวเองอยากทำอะไร เพราะตอนนั้นอายุ 26-27 ปี เริ่มรู้สึกว่าอยากหางานที่ตัวเองสามารถควบคุมได้มากกว่า
งานในวงการบันเทิงก็ชอบนะ ทุกวันนี้ก็ยังสนุกกับมัน แต่ว่าเราก็โตขึ้น รู้สึกว่าอยากหางานที่มันเป็นของเราจริงๆ ก็เลยค่อยๆ มองหาว่าตัวเองอยากทำอะไร แล้วก็ลองไปเรื่อยๆ จนมาเจอการทำขนม เพราะว่าผมชอบกินขนม แต่หาขนมที่ถูกใจยากมาก ซึ่งสมัยนั้นเริ่มมีเทรนด์ Cafe Hopping ด้วย แต่ทุกร้านมีแพตเทิร์นเดียวกันหมด ก็เลยคิดว่าทำเองดีกว่า เลยตัดสินใจไปเรียน จนตอนนี้ทำขนมยาวมา 6 ปีแล้ว
ภาพ: @apriltrees.studio / Instagram
ภาพ: @apriltrees.studio / Instagram
ก่อนจะเริ่มทำขนม ระหว่างนั้นได้ลองอะไรบ้าง
ผมเคยเรียนเขียนโปรแกรม ตอนเป็นนักร้องก็เรียนร้องเพลง พอเป็นนักแสดงก็เรียนการแสดง ผมเลยรู้สึกว่าการค้นหาตัวเองก็ต้องเรียน ช่วงนั้นเป็นยุคของการทำ Blog ถ้าอยากเป็น Blogger ต้องมีเว็บไซต์ของตัวเอง ผมก็เลยเริ่มเรียนการเขียนโปรแกรม พอไปรีวิวร้านกาแฟจะได้เอามาลง Blog อะไรแบบนี้
ซึ่งตอนเรียนก็เรียนจริงจัง แต่ปวดหัวมาก เพราะเราไม่ชอบอะไรที่ต้องทำความเข้าใจเยอะๆ ก็เลยเลิกไป แล้วมาเรียนถ่ายภาพต่อ ทุกวันนี้ก็ยังเอาทุกสิ่งที่เรียนมาใช้หมด มันไม่ได้หายไปไหน กล้องทุกตัวก็ยังหยิบมาถ่ายภาพอยู่ บางคนบอกพี่เต็งหนึ่งถ่ายรูปสวยจัง มันก็เป็นผลมาจากการที่เราได้เรียนมาบ้าง
ภาพ: @apriltrees.studio / Instagram
ภาพ: @apriltrees.studio / Instagram
ภาพ: @apriltrees.studio / Instagram
ภาพ: @apriltrees.studio / Instagram
ทำไมเริ่มทำขนมจริงจัง จนตอนนี้กลายเป็นผู้สอนไปแล้ว
ผมเป็นคนชอบคุยกับคน ผมรู้สึกว่าตัวเองสามารถสอนให้คนคนหนึ่งทำขนมเป็นได้ รู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับการทำอะไรแบบนี้ ผมไม่ชอบการเปิดร้านมาแต่ไหนแต่ไร เพราะทำธุรกิจไม่เป็น
แต่เราในฐานะผู้เรียนกับผู้สอนมันก็ต่างกันเยอะ ผมไม่มีปัญหากับการเจอคนใหม่ๆ เพราะว่ามันคืออาชีพของผมอยู่แล้ว ผมชอบที่จะได้คุยกับคนเยอะๆ ด้วยซ้ำ ผมจึงสนุกกับการได้สอน ได้บอกคนอื่นในสิ่งที่รู้ ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ต้องปรับตัวมากมาย
ใช้เวลากับการเรียนเป็นเชฟทำขนมไปเท่าไร
ผมเริ่มจากเรียนแบบ 1 วันก่อน พอรู้สึกว่าชอบก็เรียน 3 วัน จนเรียนยาวปีครึ่งเพื่อเป็น Pastry Chef หรือเชฟทำขนมระดับสูง ล่าสุดผมก็เพิ่งกลับมาจากการไปเรียนวิชาอบขนมปัง Boulangerie ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไปเรียนอยู่ประมาณ 4 เดือนกว่าๆ
มีอะไรที่สนใจอยากเรียนอีกไหม
จริงๆ ก็ยังอยากเรียนอีกนะ เพราะผมรู้สึกว่าขนมก็เหมือนแฟชั่น อาหารก็คือแฟชั่น ผมอยากไปอัปเดตเรื่อยๆ สมมติถ้าเราไม่อัปเดตเลย ทั้งสไตล์และเทคนิคต่างๆ มันก็จะเชย ยิ่งอัปเกรดไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกใหม่อยู่ตลอดเวลาด้วย
มีเทคนิคการสอนทำขนมอย่างไรบ้าง
ผมเริ่มด้วยการนั่งคุย ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ มันไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะทำไม่ได้ ถ้าชอบก็ต้องค่อยๆ ทำตามสเต็ปไป แล้วพอได้เห็นนักเรียนนำสิ่งที่เราสอนไปต่อยอดได้สำเร็จ มันก็คงเหมือนครูทุกคน ผมรู้สึกว่ามันคือความภูมิใจ มีนักเรียนหลายคนที่ชอบจริงๆ เขามาเรียนกับเราทุกเมนู อาจเอาสูตรไปช่วยที่บ้าน หรือบางคนเรียนกับเราจบแล้วไปเรียนต่อเป็นเชฟจริงๆ ก็มี
เรื่องเล่าก่อนจะมาเป็น apriltrees studio
ตอนที่ผมเรียนจบเชฟใหม่ๆ มันยังเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการทำงานแสดงละคร แต่ผมเป็นคนทำอะไรแล้วทำจริงจังมากๆ ก็เลยไปสมัครงานเป็นเชฟในโรงแรม เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเส้นทางนี้ ก็เริ่มไปสมัครงานเหมือนกับทุกคน แต่ไม่มีที่ไหนรับ เคยไปสัมภาษณ์แล้วเขาก็บอกว่า “ทำไม่ได้หรอกคุณเต็งหนึ่ง งานที่นี่มันหนัก” ผมก็เลยบอกไปว่า “พี่ผมอยากทำ ให้เงินเท่าไรผมก็เอา ผมอยากเป็นเชฟ” อาจด้วยอาชีพเราที่มันดูสวยงาม คนก็เลยติดภาพจำนั้น ก็เลยไม่มีที่ไหนรับ ตอนนั้นร้องไห้เลยนะ ก็เลยลองปรึกษาผู้ใหญ่ที่เคารพ เขาบอกว่าสุดท้ายแล้วการเป็นเชฟจริงๆ มันต้องมีที่ทำงาน มันต้องมีที่โชว์เคส ไม่อย่างนั้นคนจะรู้ได้อย่างไรว่าเราทำอาหารเป็นจริงๆ
ผมก็เลยตัดสินใจเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ตั้งใจตั้งแต่วันแรกแล้วว่าอยากเปิดสอน ไม่ได้อยากเปิดร้าน เพราะเป็นคนชอบคุย apriltrees studio ก็เกิดขึ้นมา ณ วันนั้น ซึ่งก็คือที่นี่เลย
สิ่งที่ยากกว่าการมีแพสชันคืออะไรรู้ไหม? มันคือการรักษาแพสชันไว้ให้คงอยู่
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเชื่อในแพสชันของตัวเอง
ชีวิตของผมขับเคลื่อนด้วยแพสชันจริงๆ ผมทำตามแพสชันตัวเองก่อน เรื่องปากท้องค่อยว่ากันอะไรแบบนี้ แต่ผมเป็นคนเชื่อจริงๆ นะ ถึงแม้ว่ามันจะสุดโต่งไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราทำอะไรจนมันเก่งกว่าคนอื่นได้ เราจะสามารถหารายได้จากมันได้ สมมติว่าเราแค่ทำขนมเป็น แล้วเราก็หยุดอยู่แค่นั้นเหมือนกับหลายๆ คน เราก็จะทำได้แค่นั้น แต่ถ้าเราพัฒนาตัวเองจนเก่งขึ้นไปอีก เราก็จะสามารถมีรายได้จากสิ่งนั้นได้ด้วย
แต่สิ่งที่ยากกว่าการมีแพสชันคืออะไรรู้ไหม? มันคือการรักษาแพสชันไว้ให้คงอยู่ ทุกคนจะต้องมีจังหวะมีไฟในการทำตามแพสชันของตัวเอง แต่ว่าในวันที่ความจริงมันตบหน้าเรา จนเราหมดไฟกับสิ่งนั้น นั่นต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวสำหรับเรา
อย่างช่วงแรกๆ ผมก็มีปัญหาเหมือนกับทุกคน จริงๆ ก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าการมีชื่อเสียงจะเป็นประตูเปิดกว้างให้ชีวิตเราง่ายขึ้น จริงๆ มันยากมาก เราต้องดิ้นรน ต้องสู้กับคำดูถูก บางคนคิดว่าดารามาทำแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เลิก เดี๋ยวก็เบื่อ แต่ผมก็พิสูจน์ด้วยเวลาแล้วว่า 6 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยหยุดเลย ผมชอบมันจริงๆ