วันนี้ (18 มกราคม) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หนึ่งในองค์กรที่ขับเคลื่อนเพื่อยุติการทรมานและอุ้มหาย ที่ร่วมผลักดันร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Cultural Foundation-CrCF) มีโอกาสพูดคุยกับ สมชาย หอมลออ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เกี่ยวกับคดีที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการคลุมถุงปัญญา หรือ เปี๊ยก ผู้ต้องสงสัยคดีการเสียชีวิตของป้าบัวผัน หรือ ป้ากบ ตามที่เป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้
โดยกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ชี้ว่าตำรวจไม่มีอำนาจคลุมถุงดำขณะสอบปากคำปัญญา หรือ เปี๊ยก ผู้ต้องสงสัยคดีการเสียชีวิตของป้าบัวผัน หรือป้ากบ เพราะผิดกฎหมายทรมาน อุ้มหาย มาตรา 6 อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดมาตรา 157 และขณะควบคุมตัวต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวเป็นหลักฐานยืนยันความโปร่งใสขณะจับกุม ย้ำตำรวจไทยต้องไม่ลืมปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
จากคดีการเสียชีวิตของป้าบัวผัน หรือ ป้ากบ ที่พบเยาวชนในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตกเป็นผู้ต้องหาเพราะร่วมกันก่อเหตุ ยังเป็นคดีฆาตกรรมที่สังคมให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้มีผู้ต้องสงสัยคือ ปัญญา หรือเปี๊ยก สามีของ บัวผัน ผู้เสียชีวิต ออกมาให้ปากคำกับตำรวจ และทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามพื้นที่ต่างๆ จนล่าสุดมีการตั้งข้อสงสัยถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ดูแลคดีความว่าโปร่งใส และผิดกฎหมายมาตราใดบ้างในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
ภายหลังจากที่มีการออกมาอ้างว่าขณะควบคุมตัวเปี๊ยก สามีของบัวผัน ผู้เสียชีวิต ตำรวจไม่มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวระหว่างการจับกุมด้วยกล้อง Body Camera ตามมาตรา 22 ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ ‘พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย’ โดยอ้างว่าเป็นการเชิญตัว และผู้ต้องสงสัยยินดีที่จะมอบตัว รวมถึงมีคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นเสียงของตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีความคุยกันว่า มีการนำถุงดำคลุมหัวเปี๊ยกในห้องสอบปากคำ โดยคุยกันในลักษณะที่ว่าเป็นการทำเล่นๆ ไม่ได้มัดหรือทำให้หายใจไม่สะดวก
ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีต่างๆ ตำรวจต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหว Body Camera ป้องกันทรมาน-อุ้มหาย
สมชาย หอมลออ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เผยว่า การเชิญตัวหรือให้มอบตัวใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ในคดีการเสียชีวิตของบัวผัน หากตำรวจไม่บันทึกภาพและเสียงด้วยภาพเคลื่อนไหวผ่านกล้อง Body Camera ตามมาตรา 22 ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานอุ้มหาย ขณะควบคุมตัว โดยอ้างว่าไม่ได้บังคับเพราะผู้ต้องสงสัยคือเปี๊ยกเต็มใจมอบตัวกับตำรวจนั้น
ในกรณีนี้ต้องดูพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ มานำตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาไปสอบปากคำ แม้ตำรวจอ้างว่าเชิญตัว แต่หากผู้ถูกเชิญตัวแล้วไม่ไป หรือไม่ให้ความร่วมมือ ตำรวจจะใช้กำลังก็ถือว่าเป็นการควบคุมตัวแล้ว หรือถ้าผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาเข้าใจว่า ถ้าตำรวจบอกให้ไป ตัวเองต้องไป มิเช่นนั้นเจ้าหน้าที่จะใช้กำลังบังคับ ก็หมายถึงเป็นการจับกุมหรือควบคุมตัวเช่นกัน จึงต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลาจนกว่าจะส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวน และระหว่างการสอบปากคำต้องมีการบันทึกภาพและเสียงด้วยจนสิ้นสุดตามกฎหมาย
“ถ้าตำรวจอ้างว่าเป็นการเชิญตัวลุงเปี๊ยกมาสอบปากคำ และเป็นการมามอบตัวเอง จึงไม่มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวผ่านกล้อง Body Camera สำหรับเรื่องนี้แม้ตำรวจจะอ้าง แต่ว่าผู้บังคับบัญชาต้องสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสอบสวนผู้ที่เห็นเหตุการณ์ โดยเฉพาะลุงเปี๊ยก ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของบัวผัน ว่าเขารู้สึกอย่างไรหรือเข้าใจอย่างไรตอนนั้น ตำรวจมีพฤติกรรมอย่างไร ถ้าเขาเข้าใจว่าตำรวจเข้ามาควบคุมตัว ถ้าตัวเองไม่ไปก็ไม่ได้ น่าจะถือว่าเป็นการจับกุม เรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาต้องสอบสวนให้ชัด มันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าเป็นการคุกคามต่อสวัสดิภาพหรือเสรีภาพของประชาชน ถ้าปล่อยให้ตำรวจอ้างตลอดเวลาว่าเชิญตัว พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย จะไม่มีผลบังคับใช้”
ตำรวจไทย ไม่มีสิทธิคลุมถุงดำสอบปากคำผู้ต้องสงสัย-ผู้ต้องหา เข้าข่ายโหดร้าย ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนกรณีที่มีคลิปเสียงอ้างว่าเป็นการคุยกันระหว่างตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีการเสียชีวิตของบัวผัน ที่พูดถึงการใช้ถุงดำคลุมหัวเปี๊ยก ผู้ต้องสงสัยในขณะนั้น สมชายระบุว่า หากเป็นเรื่องจริงการที่ตำรวจใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ต้องสงสัยคดีนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐโดยมิชอบ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 บัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 6 ความผิดฐานกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“อยากจะถามว่าเปี๊ยกเป็นเพื่อนเล่นของตำรวจหรืออย่างไร ถึงเล่นกันโดยการนำถุงดำมาคลุมหัวเล่นกับเขา ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ โดยพฤติกรรมถ้าฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย อีกฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในสภาพผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำความผิด แล้วตำรวจกำลังสอบปากคำ เอาถุงดำมาคลุม ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ประเด็นที่สองน่าจะถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่มีลักษณะโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะว่าคนที่ถูกถุงดำคลุมขณะอยู่ในภาวะเช่นนั้น ต้องมีความรู้สึกตกใจอย่างมากจนแทบสิ้นสติ น่าจะมีความรู้สึก หวาดกลัวอย่างสุดขีด”
ส่วนกรณีที่มีประเด็นอ้างว่าตำรวจถอดเสื้อเปี๊ยก ผู้ต้องสงสัยระหว่างอยู่ในห้องสอบปากคำให้อยู่ในที่แอร์เย็น ถือเป็นการทรมานหรือไม่ สมชายบอกว่าในส่วนนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีเช่นกัน โดยอาจไม่ถึงขั้นทรมาน
วอน ผบ.ตร. ลงโทษหนักตำรวจละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหาทุกคน
สมชายกล่าวทิ้งท้ายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในคดีการเสียชีวิตของบัวผัน ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว รวมถึงคดีอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการทรมานและอุ้มหายว่า ตำรวจคือเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย เป็นผู้ที่รักษากฎหมายและมีอำนาจตามกฎหมาย มีหน้าที่ในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หากตำรวจมีพฤติกรรมแบบที่ปรากฏเป็นข่าวจริง คือการทำความผิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงเป็นการกระทำที่ชี้ชัดว่าผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานอุ้มหาย เรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งในทางวินัยและในทางอาญา
“เรื่องนี้น่าจะได้ผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับผู้เสียหาย ในทางกฎหมายแนะนำว่าน่าจะต้องมีการแจ้งไปที่พนักงานอัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือฝ่ายปกครอง เพื่อให้ดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ในส่วนนี้ หากทางผู้เสียหายไม่ดำเนินการ ใครก็สามารถแจ้งไปที่พนักงานอัยการ DSI หรือแจ้งไปที่นายอำเภอ และปลัดอำเภอได้ด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นคดีที่เข้าข่ายในลักษณะความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่ใครๆ ก็สามารถแจ้งได้”
ส่วนที่มีการสั่งย้ายตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนเดิมในคดีการเสียชีวิตของบัวผัน เรื่องนี้สมชายฝากถึง พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) การย้ายตำรวจที่อาจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ยังไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นเพียงการย้ายเพื่อที่จะทำการสืบสวนสอบสวนต่อเพื่อไม่ให้ไปยุ่งเหยิงกับพยานในพื้นที่ ตามหลักสิทธิมนุษยชน หรือทำให้เห็นความโปร่งใสในการทำงานของตำรวจ เสนอให้พักราชการจนกว่าจะสืบสวนสอบสวนสิ้นสุด
“พฤติกรรมอย่างนี้น่าจะสั่งพักราชการไปเลย ขั้นตอนต่อไปควรต้องดำเนินคดีทางวินัยและอาญากับตำรวจกลุ่มนี้ เพื่อไม่ให้ตำรวจคนอื่นๆ ทำเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป อันนี้ฝากท่านรอง ผบ.ตร. ด้วย เพราะท่านเป็นคนเอาจริงเอาจังและเคร่งครัด อยากจะให้เอาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ถูกใช้อย่างจริงจังในสังคมไทย ไม่ควรมีใครถูกกระทำอย่างย่ำยีศักดิ์ศรี โหดร้าย และไร้มนุษยธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ”
การทรมานคือการที่เจ้าหน้าที่รัฐสร้างความเจ็บปวดต่อผู้เสียหายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ให้ยอมรับสารภาพ หรือเพื่อข่มขู่ให้กลัว การทรมานอาจก่อให้เกิดบาดแผลทางร่างกายจากการถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย เช่น ทุบ ตี ทำร้ายร่างกาย บีบหรือรัดคอให้หายใจไม่ออก หรือในทางจิตใจ เช่น การบังคับให้อดนอน อดอาหารและน้ำ หรือสร้างความอับอายให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ การทรมานด้วยรูปแบบใหม่ๆ อาจทำให้ไม่เกิดรอยแผลบนผู้เสียหาย แต่สร้างความเจ็บปวดอันสาหัส เช่น การทุบด้วยวัสดุพิเศษ หรือขังไว้ในห้องเย็น ทำให้การตรวจสอบร่องรอยการทรมานทำได้ยากขึ้น
การทรมานเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงที่สุดประเภทหนึ่ง และเป็นสิ่งที่ถูกห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเด็ดขาด เนื่องจากการทรมานเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บ่อนทำลายขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ทั้งไม่มีเหตุผลหรือกรณีใดๆ ที่สามารถรับรองความชอบธรรมของการทรมานได้