หลังจบเกมลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ ที่ลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์กลับมาแซงเอาชนะฟูแลมได้ในเกมสุดมัน 2-1 มีการเปิดเผยภาพช่วงเวลาที่นักเตะทีม ‘หงส์แดง’ เดินกลับเข้ามายังห้องแต่งตัวในสนามแอนฟิลด์
หนึ่งในนักเตะที่เดินกลับเข้ามาด้วยคือ ดาร์วิน นูนเญซ ศูนย์หน้าที่เดินกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะพูดกับใครสักคนเป็นภาษาสเปน
“Loco, no quiere entrar la pelota nomás”
“บ้าเอ๊ย ลูกมันไม่ยอมเข้าประตูไป”
คำบ่นของกองหน้าทีมชาติอุรุกวัยรายนี้มาจากการที่เขาพลาดโอกาสในการมีชื่อบนสกอร์บอร์ดอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ปรี่เข้าฮอสหน้าปากประตูในระยะเผาขน แต่ก็ยังติด แบร์นด์ เลโน นายทวารของฟูแลม ที่ซูเปอร์เซฟป้องกันเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
การพลาดโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าของนูนเญซอาจเป็นหนึ่งในเรื่องที่เป็นทั้งปัญหาและปริศนาสำหรับเจ้าตัวและทีม แต่ในอีกด้านแล้วนักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เจ้าชายวุ่นวาย’ พิสูจน์ตัวเองในฐานะการเป็นไพ่ตายที่ลงมาเปลี่ยนแปลงเกมให้ เจอร์เกน คล็อปป์ ได้อีกครั้ง
และเครื่องยืนยันคือ ตัวเลขสถิติการผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูของนูนเญซในฤดูกาลนี้เพิ่มเป็น 10 ครั้งแล้ว มากยิ่งกว่า เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หรือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สองเสาหลักในการสร้างสรรค์เกมของทีมเสียอีก!
เสียงเชียร์เรียก “นูนเญซ นูนเญซ” ดังกระหึ่มสนามแอนฟิลด์ ภายหลังจากที่กองหน้าชาวอุรุกวัยฉีกตัวไปรอบอลไหลมาจาก ดีโอโก โชตา ทำให้ได้ทะลุไปสุดเส้นหลังในกรอบเขตโทษ ก่อนที่อดีตกองหน้าเบนฟิกาจะหักกลับเข้ามาตรงกลางประตูด้วยเท้าซ้าย
ลูกจ่ายนั้นเหมือนจะย้อนหลังเล็กน้อย แต่สำหรับ โคดี กักโป อีกหนึ่งตัวรุกที่ลงสนามมาพร้อมกันในช่วงนาทีที่ 56 ของเกม มันเป็นลูกจ่ายที่ใช้ได้ เข้าทางเท้าซ้าย และยิงผ่านเลโนที่หมดสิทธิ์ป้องกันลูกนี้ไปพอดี
ประตูนี้เป็นลูกแซงนำ 2-1 ของลิเวอร์พูล ที่ทำ 2 ประตูภายในช่วงระยะเวลาห่างกันเพียงแค่ 3 นาที ซึ่งประตูตีเสมอ 1-1 นั้นมาจากจังหวะยิงไกลของ เคอร์ติส โจนส์ ซึ่งบอลแฉลบกองหลังฟูแลม ก่อนพุ่งเปลี่ยนทางเข้าประตูไป
โดยคนที่เป็นผู้จ่ายบอลต่อให้กองกลางวัย 22 ปีทำประตูได้ก็คือนูนเญซอีกเช่นกัน และนั่นหมายถึงเขาทำ 2 แอสซิสต์สำคัญที่ช่วยพลิกสถานการณ์ให้ทีมได้สำเร็จในเกมนี้ หลังจากที่โดนฟูแลมทำประตูขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ครึ่งแรก และทีมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะเกมรับของทีม ‘เจ้าสัวน้อย’ แข็งแกร่ง อีกทั้งลิเวอร์พูลเองก็ขาดผู้เล่นหลักๆ หลายคน โดยเฉพาะอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ได้รับบาดเจ็บที่เข่าจากเกมเอฟเอคัพกับอาร์เซนอล จนต้องพักการเล่นราว 3 สัปดาห์
จุดที่น่าสนใจคือ การแก้เกมของคล็อปป์ที่ได้ผลอีกครั้ง โดยเกมนี้แม้จะมีไพ่ในมือไม่มาก แต่อย่างน้อยบนม้านั่งข้างสนามมีกักโปและนูนเญซอยู่ ซึ่งเมื่อทั้งสองได้โอกาสลงมาแทนที่ของ ไรอัน คราเฟนแบร์ก และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่เล่นไม่ออกในเกมนี้ ลิเวอร์พูลที่เหมือนมืดบอดก็คล้ายได้แสงสว่างกลับมาทันที
คนที่ถูกโฟกัสมากเป็นพิเศษคือนูนเญซ ที่ถูกส่งลงมาทลายกำแพงในเกมรับของฟูแลม และกองหน้าเจ้าของค่าตัว 64 ล้านปอนด์สามารถตอบสนองคำสั่งได้อย่างดีเยี่ยม เพราะนอกจากรูปร่างที่สูงใหญ่ ยังมีความเร็วจัดจ้าน พาบอลไปกับตัวได้ดี และสามารถเล่นเชื่อมกับเพื่อนได้อย่างไหลลื่น
ปัญหาเดียวของนูนเญซยังคงเป็นปัญหาเดิมคือ เขายิงประตูได้น้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็นมาก
ฤดูกาลนี้นูนเญซมีโอกาสลงสนามทั้งหมด 30 นัด (รวมทุกรายการ) ทำได้เพียงแค่ 8 ประตูเท่านั้น หรือเฉลี่ยแล้วจะมีประตูในทุก 208 นาที ซึ่งสำหรับกองหน้าแล้วถือว่าเป็นผลประกอบการที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นไปมากพอสมควร
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงโอกาสที่นูนเญซมีในหลายๆ นัด ที่หากเปลี่ยนพวกลูกยิงชนเสา-ชนคาน ไปจนถึงลูกหลุดเดี่ยวและการเข้าฮอส ซึ่งในเกมกับฟูแลมแม้จะทำได้ดีแล้วในการโฉบมายิงลูกเปิดจาก คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็กขวาดาวรุ่งที่เล่นได้อย่างน่าประทับใจ แต่บอลมันก็ยังไม่ผ่านเลโนอยู่ดี
มีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับโอกาสการทำประตูของนูนเญซคือ
- ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2023/24 นูนเญซมีค่าเฉลี่ยในการยิงประตูต่อ 90 นาที มากกว่าใคร โดยมีโอกาสถึง 4.66
- ส่วนตัวเลขค่าคาดหวังการได้ประตู (Expected Goals – xG) ก็สูงถึง 8.6 แต่ยิงได้จริงเพียงแค่ 5 ประตู แปลว่ายิงได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึง -3.6
- 3 นัดหลังสุดนูนเญซมีโอกาสเข้ากรอบถึง 16 ครั้ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้แม้แต่ครั้งเดียว
ถ้ามองตามตัวเลขสถิติอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล และเป็นจุดที่นูนเญซเองก็หลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์ได้ยาก เพียงแต่สำหรับคล็อปป์แล้ว การไม่มีสกอร์ของกองหน้าจอมลุยรายนี้ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร” คล็อปป์บอกหลังเกมกับฟูแลม พร้อมชี้ว่า นูนเญซน่าจะเป็นคนดวงอับที่สุดแล้ว เพราะขนาดทำทุกอย่างถูกต้องก็ยังไม่ได้ประตูอยู่ดี
แต่อย่างน้อยการที่เขาเป็นที่รักของแฟนบอล และนูนเญซเองก็ตอบรับความรักนั้นและมอบความรักกลับคืนให้แฟนๆ ผ่านความทุ่มเททุกนัดในสนาม เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของคล็อปป์ฟู
“เขาเล่นได้อย่างโดดเด่นมาก ผมชอบการเล่นในเกมนี้ของเขาหลายอย่าง” คล็อปป์บอกต่อ “ในปีแรกเป็นปีของการปรับตัว เขาก็ยิงได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ตอนนี้มันคือเรื่องของการตอบแทนให้กับทีม เขาน่าจะได้ลงตัวจริงในเกมนี้ แต่มีอาการตะคริวในเกมล่าสุดเมื่อ 3 วันก่อน ทำให้เขาไม่สามารถลงตัวจริงได้”
นับจากที่ได้โอกาสลงสนามในช่วงครึ่งหลัง นูนเญซทำสถิติยอดเยี่ยมหลายอย่างด้วยกัน
- มีค่า xG สูงที่สุด (0.76)
- สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากที่สุด (12)
- เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งมากที่สุด (3)
- ยิงมากที่สุด (4) เท่ากับนักเตะลิเวอร์พูลคนอื่นๆ ในทีม
ผลงานดังกล่าวทำให้ เฮนรี วินเทอร์ หัวหน้าข่าวฟุตบอลแห่ง The Times เรียกนูนเญซว่าเป็นเจ้าพ่อ ‘ศิลปะแห่งความโกลาหล’ (ถือว่าเป็นคำชม) ผู้ที่ลงมาสร้างความปั่นป่วนให้กับทั้งเกมรุกของลิเวอร์พูล (ซึ่งเป็นหัวใจในสไตล์การทำทีมของคล็อปป์) และความวายวอดให้กับเกมรับของคู่แข่ง
ดังนั้นถึงจะเป็นนักเตะที่พลาดโอกาสสำคัญ (Big Chances) มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยพลาดไปแล้วถึง 18 ครั้ง (ลองจินตนาการว่าขอสักครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นประตู!)
แต่ในอีกทางหนึ่งนี่คือ
- นักเตะที่มีส่วนกับการได้ประตู (Goal / Assist) จากการเป็นตัวสำรองมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก (7 ประตู)
- มีส่วนกับการได้ประตูในทุก 93 นาที
- มีส่วนกับการได้ประตู 18 ลูกในฤดูกาลนี้ จากการยิง 8 ประตู และแอสซิสต์ 10 ครั้ง (ฤดูกาลที่แล้วทั้งฤดูกาลมีส่วน 19 ประตู)
ในความเป็น ‘เจ้าชายวุ่นวาย’ นูนเญซคือหนึ่งในสุดยอดไพ่ตาย โดยเฉพาะยามลงมาเป็นตัวสำรอง และสำคัญอย่างมากต่อการที่ลิเวอร์พูลติดลมบนมีลุ้น 4 รายการในเวลานี้
อ้างอิง: