ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของสหวิริยาสตีลอินดัสตรีชำระหนี้เงินต้นคงค้างให้แก่เจ้าหนี้ทุกรายตามแผนฟื้นฟูกิจการ รวมถึงการแปลงหนี้เป็นทุนครั้งที่ 1
นาวา จันทนสุรคน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี หรือ เอสเอสไอ (SSI) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง และศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการโดยแต่งตั้งบริษัทเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2559 ต่อมาในวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและโดยที่แผนฟื้นฟูกิจการได้กำหนดให้บริษัทเป็นผู้บริหารแผนนั้น
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการ บริษัทในฐานะผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถบรรลุผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการได้ครบเงื่อนไขทุกข้อ กล่าวคือ
- ชำระหนี้เงินต้นคงค้างให้แก่เจ้าหนี้ทุกรายตามแผนฟื้นฟูกิจการ รวมถึงการชำระหนี้ด้วยการชำระเงินสด การแปลงหนี้เป็นทุนครั้งที่ 1 และการชำระหนี้เพิ่มเติมจากกระแสเงินสดส่วนเกินในข้อ 2 รวมทั้งสิ้นจำนวน 11,269 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20.16% ของภาระหนี้เงินต้นรวมที่ต้องชำระ
- ชำระหนี้เงินต้นคงค้างจากกระแสเงินสดส่วนเกิน รวมทั้งสิ้นจำนวน 2,563 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.75% ของจำนวนหนี้ที่ได้ชำระหนี้เงินต้นในข้อ 1
- ชำระหนี้ตามแผนของแผนฟื้นฟูกิจการ โดยไม่ผิดนัดชำระหนี้ติดต่อกันไม่น้อยกว่าระยะเวลา 34 เดือน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการฉบับแก้ไข เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 เป็นต้นมา
- ผู้บริหารแผนและบรรดาเจ้าหนี้ที่มีจำนวนหนี้รวมกันไม่น้อยกว่า 75% ของจำนวนหนี้คงค้างของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า บริษัทมีศักยภาพและมีความพร้อม ตลอดจนมีความสามารถที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้หลังจากออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการบริษัทจึงได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ โดยเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ศาลได้พิจารณาคำร้องและมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ตามมาตรา 90/70 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
“บริษัทฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจการของบริษัทฯ ให้มีความแข็งแกร่ง เติบโตต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการฟื้นฟูกิจการที่ให้การสนับสนุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้การฟื้นฟูกิจการประสบความสำเร็จ ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่านที่ยังคงเชื่อมั่นบริษัทฯ เสมอมา บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกท่านต่อไปในอนาคต” นาวากล่าว
ทั้งนี้ SSI เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนสูงสุด 4 ล้านตันต่อปี โดยเน้นการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษเพื่อรองรับความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาค สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงาน การขนส่ง และการก่อสร้าง
ก่อนหน้านี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เพิกถอนหุ้น SSI จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2563
โดย SSI ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายหุ้น ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2559 เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาฐานะทางการเงิน หลังจากเกิดความเสียหายการลงทุนเข้าซื้อกิจการโรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Product (TCP) ในประเทศอังกฤษ จากบริษัท Tata Steel UK บริษัทในกลุ่ม Tata Steel ในช่วง 2554 เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านวัตถุดิบและเสถียรภาพของต้นทุนการผลิต แต่การลงทุนดังกล่าวสร้างภาระหนี้ให้กับ SSI สูงหลายหมื่นล้านบาท ซึ่ง SSI ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ธนาคารเจ้าหนี้จนต้องแก้ไขปัญหาด้วยยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ให้เวลา SSI ฟื้นฟูกิจการอยู่หลายปี แต่ไม่สามารถแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอน ครบเงื่อนเวลาการแก้ไขจึงถูกเพิกถอน เนื่องจากส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ โดย SSI ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการทั้งสิ้นประมาณ 7 ปี จนกระทั่งสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้สำเร็จ