วันนี้ (9 ธันวาคม) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดกาญจนบุรี โดยจุดแรกคือที่ศูนย์ประสานงานอำเภอท่ามะกา ตำบลตะคร้ำเอน อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
โดยมีประชาชนถือป้ายต้อนรับนายกฯ และป้ายข้อความขอสนับสนุนเงินดิจิทัล เช่น ‘ยินดีต้อนรับท่านนายกฯ ชาวกาญจน์รักนายกฯ นิด’, ‘เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รออยู่นะคะท่าน’ ขณะที่บางส่วนเขียนข้อความที่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศไว้กับประชาชน 8 เรื่อง
เมื่อนายกฯ มาถึงได้ทักทายประชาชนที่มาให้กำลังใจ จากนั้นกล่าวกับประชาชนว่า ยินดีมากที่ได้กลับมาจังหวัดกาญจนบุรีอีกครั้ง ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือนที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ พบว่าบ้านเมืองเรามีปัญหามาก แต่ยืนยันว่าเรามีรัฐมนตรีและทีมงานที่พร้อมจะรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ เสียงสะท้อน เสียงเรียกร้อง เสียงวิงวอน คือเรื่องของปากท้อง เรื่องปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด พื้นที่ทำกิน ราคาเกษตร การค้าขายระหว่างพรมแดนทั้งหลาย ซึ่งรัฐบาลนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ
นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของหนี้สิน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ทั้งตนเอง อนุทิน และตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ หนี้นอกระบบต้องหมดไป จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับการทุกจังหวัด
หากมีเสียงเรียกร้องหรือมีปัญหาการถูกเรียกทวงหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน็อก ออนไลน์ เราทุกคนพร้อมที่จะให้บริการกับพี่น้องประชาชน ฉะนั้นอย่ากลัว ให้เดินออกมาพูดคุยกัน รัฐบาลให้ความเป็นธรรมและคุ้มครองเจ้าหนี้และลูกหนี้ ทุกอย่างจะต้องถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เราไม่ยอมรับการรีดไถที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม
นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติด เรามีการบริหารจัดการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงเข้ามาจัดการประสานงานกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ และพื้นที่ ซึ่งเราให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องยาบ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องการทำลายสมัยก่อนใช้เวลานาน แต่คราวนี้ต้องเร่งรัดวงจรในการทำลาย
ส่วนเรื่องการค้าการลงทุน ยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้อง เป็นที่ประจักษ์ดี รัฐบาลนี้ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีการเดินทางไปต่างประเทศ ไปเปิดการค้าระหว่างประเทศ ดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็งขึ้น
“มีเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเป็นห่วงอยู่ตรงนี้ โดยความเห็นส่วนตัวและถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะต้องถูกยกระดับขึ้นมา เรายอมรับไม่ได้ที่มีการประกาศกันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เดี๋ยวคงจะต้องมีการพูดคุยกันในเวทีที่เหมาะสม โดยใช้เหตุผลคุยกันตรงนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้และต้องแก้ไขกันต่อไป” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ค่าแรงขั้นต่ำของเราไม่ได้ขึ้นมานานมาก แต่ขึ้นมาน้อยมาก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน โดยรัฐบาลพยายามทำหลายวิธีที่จะให้ลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร และอีกหลายอย่าง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ของประชาชน รวมไปถึงการแก้ไขหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ
บางจังหวัดขึ้นแค่ 7-12 บาทเท่านั้น ซึ่งน้อยเกินไป ทั้งที่รัฐบาลพยายามที่จะยกระดับให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมไฮเทค ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น เพื่อที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนในไทย ที่ไทยยังไม่มีสนธิสัญญาทางการค้า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่
นายกฯ กล่าวว่า การขึ้นรายได้ ผู้ประกอบการต้องพยายามทำ ไม่ใช่มากดค่าจ้าง อีกทั้งผู้ประกอบการต้องพัฒนาตัวเอง เพราะปัจจุบันนายจ้างก็ได้ประโยชน์จากการลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน และอีกหลายอย่างตามมาตรการของรัฐบาล วันนี้เราจะไม่ยอมให้แรงงานประชาชนคนไทยมีค่าแรงต่ำติดดินแบบนี้
เมื่อถามว่า ในเรื่องค่าแรงจะมีโอกาสทบทวนใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องขอทบทวนใหม่ เดี๋ยวจะต้องไปพิจารณาถึงแนวทางความเหมาะสม เพราะตนเพิ่งทราบข่าวเรื่องนี้ แต่คงไม่ใช่การสั่งการ แต่เป็นการพูดคุยร่วมกัน เราต้องมาพูดถึงองค์รวมของเศรษฐกิจและการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขึ้นค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างอย่างเดียว แต่ยังมีการเพิ่มรายได้ เปิดตลาดที่มากขึ้น ที่ผ่านมาผู้ประกอบการหรือนายจ้างก็ได้ประโยชน์ไปแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับคนที่เป็นกำลังสำคัญ
เมื่อถามย้ำว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้รับการปรับขึ้นมานาน แต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาท จะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้คุยกับนายกฯ มาเลเซีย เรื่องนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่องเที่ยว การเปิดด่านสะเดา มีการลงทุนสร้างสะพานไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงขึ้นแค่ 2-3 บาท
เมื่อถามว่า การปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นธรรมควรจะอยู่ที่ตัวเลขเท่าไร นายกฯ กล่าวว่า ต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะต้องฟังเหตุผลของเขาเหมือนกัน อย่างที่บอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ 1 ฟองยังไม่ได้
เมื่อถามว่า หากมีการปรับเพิ่มขึ้นจำนวนมากอาจมีปัญหาเรื่องการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ อันนี้เป็นวาทกรรม ไม่มีใครย้ายเพราะค่าแรงขึ้น รัฐบาลยังมีมาตรการส่งเสริมด้านภาษี มีระบบสาธารณสุขที่ดี สถานศึกษาก็ดี โครงสร้างพื้นฐานและสนามบินก็ดี ท่าเรือน้ำลึกก็มี ที่ตนเดินทางไปต่างประเทศก็ได้เซ็น MOU กับหลายบริษัทใหญ่ๆ ทั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ถ้าผู้ประกอบการไม่ช่วยกันก็ไปลำบาก
เมื่อถามว่า นายกฯ จะสื่อสารไปยังผู้ใช้แรงงานอย่างไรเพื่อไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ขอให้ผู้ใช้แรงงานดูการกระทำว่าตนมีความจริงใจขนาดไหน อย่างไร เราให้ความสำคัญสูงสุด
“วันนี้ผมไม่ได้มาหาเสียง เพราะการหาเสียงจบไปแล้ว แต่เราพูดถึงความเป็นจริงว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต้องได้รับการดูแลควบคู่กันไปด้วย ขออ้อนวอนไปถึงนายจ้างให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงานด้วย” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า นายกฯ รู้สึกเหมือนมีอารมณ์ฉุนเฉียวที่พูดถึงเรื่องนี้ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ เพราะการที่เป็นนายกฯ ต้องดูแลประชาชน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลแค่มาเอาคะแนนเสียงกับผู้ใช้แรงงานอย่างเดียว แต่นายจ้างและผู้ประกอบการก็ไปรับฟังความเห็นตลอด และพร้อมจะช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว