วันนี้ (26 พฤศจิกายน) พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยตัวแทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนไทยที่เป็นผู้ประสบภัยจากเหตุภาวะสงครามในประเทศเมียนมา จำนวน 266 คนที่สามารถช่วยเหลือกลับมาได้ และเข้าสู่กระบวนการคัดแยกที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า NRM ที่ตั้งภายในศูนย์การเรียนรู้มหานคร สถาบันพัฒนาทรัพยากรบุคคลกรุงเทพมหานคร เขตหนองจอก
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ระบุว่า ในเบื้องต้นการคัดกรองเสร็จสิ้นไปบางส่วนแล้ว สามารถคัดแยกออกเป็น 5 กลุ่มคือ
- กลุ่มที่ 1 มี 6 คน เป็นบุคคลที่มีหมายจับ ซึ่ง 4 ใน 6 เป็นบัญชีม้า ส่วนอีก 2 คนเป็นผู้ต้องหาคดีอื่นๆ
- กลุ่มที่ 2 จำนวน 98 คน ไม่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับการค้ามนุษย์
- กลุ่มที่ 3 จำนวน 51 คน คัดกรองแล้วพบว่าไม่ได้เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ แต่เป็นกลุ่มที่เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง ตอนนี้เตรียมส่งกลับภูมิลำเนา แต่หากพบหลักฐานภายหลังว่าไปหลอกลวงหรือกระทำผิดอื่นใดก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
- กลุ่มที่ 4 จำนวน 75 คน เป็นกลุ่มที่ยังรอการตรวจพิสูจน์
- กลุ่มที่ 5 จำนวน 36 คน เป็นบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า มีรายงานว่ามี 2 พื้นที่ในเมียนมาที่มีคนไทยตกค้างอยู่คือ เมืองแผน มีคนไทยอาศัยอยู่ประมาณกว่า 100 คน และเมืองเล่าก์ก่าย มีประมาณ 10 กว่าคน ซึ่งทั้งสองพื้นที่อยู่ระหว่างการประสานให้การช่วยเหลือ
ส่วนคนไทย 41 คนที่ช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้ที่ศูนย์พักพิงจังหวัดเชียงราย ยังอยู่ระหว่างการคัดแยก โดยหลังจากนี้ทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวน ว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการนายทุนจีนสีเทาหรือไม่ รวมถึงขบวนการคอลเซ็นเตอร์ด้วย
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าวยืนยันว่า บุคคลที่ส่งกลับภูมิลำเนาไปแล้ว หากตรวจพบว่ามีความเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีในภายหลัง และยังมีรายงานว่ามี 4-5 คนใน 5 กลุ่ม ที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลให้กลับ แต่เมื่อกลับมาแล้วก็ยังลักลอบไปประเทศเมียนมาอีก
ทั้งนี้ แม้ที่ผ่านมาจะสามารถจับได้เพียงบุคคลที่เป็นบัญชีม้า แต่กลุ่มที่เป็นตัวการคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะคนที่คุยกับผู้เสียหาย อย่านิ่งนอนใจ เพราะทีมสืบสวนสามารถเช็กประวัติการโทรศัพท์ และเส้นทางการเงินได้ทั้งหมด ว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไร และเมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาจะไปขอหมายจับสากลส่งไปยังทางการจีน และเร็วๆ นี้ตนเองจะเดินทางไปขอความร่วมมือกับหน่วยงานของจีนที่ดูแลเรื่องนี้
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำการบ้านเยอะ ปัญหาคอลเซ็นเตอร์จะแก้ได้ก็ต้องแก้จากต่างประเทศ เพราะฐานอยู่ที่ต่างประเทศ ตอนนี้กำลังประสานความร่วมมือกับประเทศจีน เนื่องจากจีนกำลังเร่งปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้น และในทุกๆ ขบวนการคอลเซ็นเตอร์มักจะมีคนไทยแฝงอยู่ จึงต้องประสานให้ช่วยเหลือคนไทยออกมาจากจุดที่อันตรายก่อน ส่วนจะเป็นผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายก็ค่อยดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พร้อมทั้งขอเตือนคนไทยที่ตั้งใจจะไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ต้องเลิกทำ เพราะตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังไล่ออกหมายจับและดำเนินคดีทั้งหมด