วันนี้ (16 พฤศจิกายน) ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกาได้นัดพิพากษาคดีที่ ปอย ป่าแส มารดาของ ชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ยื่นฟ้องเมื่อปี 2562 ต่อศาล เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จากกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารด่านตรวจบ้านรินหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560
โดยศาลฎีกาพิพากษาให้กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิมีความผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ และต้องชดใช้เยียวยาให้กับครอบครัวของชัยภูมิเป็นจำนวน 2,072,400 บาท พร้อมจ่ายดอกเบี้ยอีกต่างหาก นับตั้งแต่วันที่กระทำละเมิด ซึ่งขั้นตอนต่อไปฝ่ายกองทัพบกจะต้องนำเงินมาวางไว้ที่ศาลตามคำพิพากษา ภายใน 30 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น-อุทธรณ์
ปรีดา นาคผิว ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวถึงรายละเอียดข้อกฎหมายในวันนี้ว่า วันนี้ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องไม่ให้ครอบครัวได้รับการเยียวยาใด
ศาลฎีกาพิพากษาให้กองทัพบกในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารต้องรับผิดชอบค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 2 ล้านกว่าบาท แบ่งเป็นค่าปลงศพ 1,020,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะที่ชัยภูมิต้องอุปการะแม่ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ที่เกี่ยวกับเรื่องการทำมาหากินของชัยภูมิ เอาเงินมาอุปการะแม่ในแต่ละเดือน และค่าขาดไร้อุปการะแม่ในอนาคต ซึ่งศาลก็ฟังว่า ตามประวัติการศึกษาของชัยภูมิเป็นเด็กที่เรียนดี ก็ย่อมมีโอกาสที่จะศึกษาจบปริญญาตรีแน่นอนในอนาคต และย่อมมีโอกาสที่จะได้อาชีพการงานที่จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ต่อเดือน ตามที่เราฟ้องเข้าไป
ศาลก็กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้จนกว่าแม่จะอายุ 80 ปี ซึ่งเราคำนวณตามอายุ ณ ขณะที่ชัยภูมิถูกยิงรวมไปอีก 29 ปี ศาลคำนวณส่วนนี้ให้ครบถ้วน รวมค่าขาดได้การอุปการะเป็นเงิน 1,900,000 กว่าบาท
ข้อสำคัญคือข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังนั้นถือได้ว่าศาลฎีกามีความละเอียดมาก พิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของการเกิดเหตุการณ์ขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2560 เรื่องกล้องวงจรปิดเช่นเดียวกัน ศาลฟังว่ากล้องวงจรปิดพยานฝ่ายจำเลย เจ้าหน้าที่ รวมทั้งพนักงานสอบสวนที่ตรวจสอบมาแล้ว ได้ยืนยันว่ากล้องวงจรปิด 9 ตัวนั้นใช้งานได้ 6 ตัว ซึ่งเราก็ได้มีการอ้างเรื่องนี้เข้าไปแล้วตั้งแต่ชั้นการไต่สวนการตาย แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารก็บ่ายเบี่ยง
นี่คือข้อสำคัญที่หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกองทัพบก ควรจะมาตรวจสอบจัดการในเรื่องลักษณะอย่างนี้ว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดของตนเองกระทำการสิ่งใดกระทบต่อร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน และมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่แสดงกล้องวงจรปิดออกมา ซึ่งหลักฐานที่ส่งมาไม่ได้ครอบคลุมวันที่เกิดเหตุ แต่ไปเอาวันที่พ้นจากวันเกิดเหตุมานำส่ง ศาลฟังแล้วเชื่อได้ว่ามีการปกปิดข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญทางนิติวิทยาศาสตร์
อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ที่อ้างว่าชัยภูมิมีระเบิดจะขว้างใส่ เจ้าหน้าที่ทหารจึงต้องยิงป้องกันตัวนั้นก็ฟังไม่ได้ เพราะตอนที่ให้หยุดรถตรวจค้นตัวตรวจค้นรถ ก็ชัดเจนว่ามีการเปิดข้างในรถเปิดประตูทั้งสี่บาน เปิดท้ายรถ เปิดด้านหน้ารถหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ทหารเองก็ยืนยันว่าตอนตรวจค้นนั้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ดังนั้นอาวุธวัตถุระเบิดมันคือระเบิดอาวุธสงครามด้วยซ้ำ จึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณตรวจไม่เจอแล้วชัยภูมิจะวิ่งไปเอาระเบิดนั้นในภายหลัง
การควบคุมตัวชัยภูมิด้วยเช่นกัน ศาลก็ฟังว่า ในภาวะนั้นทหารหลายนายควบคุมเขาอยู่แล้ว แต่เขาแค่สะบัดและวิ่งหนีเท่านั้นเอง และมีประจักษ์พยานชาวบ้านคนหนึ่งที่พาหลานมาในพื้นที่ใกล้ๆ ก็เห็นเหตุการณ์ว่าชัยภูมิวิ่งไปไม่ได้มีสิ่งผิดกฎหมายหรือมีอะไรที่จะชี้ได้เลยว่าเป็นวัตถุระเบิดหรือสิ่งของใดๆ ที่จะไปทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารได้ ศาลเลยฟังว่า น้ำหนักพยานของฝ่ายจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารนั้นฟังไม่ได้ ไม่มีน้ำหนักพอ
ศาลจึงเชื่อว่า เหตุการณ์ที่อ้างว่าชัยภูมิมีระเบิดและกำลังจะปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่จึงยิงนั้น เป็นการฟังไม่ได้ว่ามีระเบิดจริง ประกอบกับระเบิดอย่างที่ว่านี้เป็นวัตถุระเบิดที่มีขั้นตอนที่จะปลดสลักอยู่หลายขั้นตอน พยานผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดก็มีให้การไว้แล้ว สอดรับกับพฤติการณ์ที่ฝ่ายครอบครัวซึ่งเป็นโจทก์อ้างว่าชัยภูมิไม่มีวัตถุระเบิดแน่ๆ
เรื่องวัตถุระเบิด ศาลก็พิจารณาละเอียดไปถึงขั้นที่เรานำสืบว่า วัตถุระเบิดถ้าจับจริง เอาออกจากรถวิ่งไป แต่ตรวจไม่พบ DNA ของชัยภูมิในวัตถุระเบิดเลย ศาลก็เชื่อว่า เมื่อไม่มีลายพิมพ์นิ้วมือหรือ DNA ของชัยภูมิเลยที่ด้ามของระเบิด มันก็เป็นข้อพิรุธอย่างมากว่าระเบิดนั้นมาจากไหน แล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
นี่คือภาพโดยรวมว่า การที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธสงครามยิงโดยพลทหารที่ยิง ศาลเชื่อว่า ทหารยิงเพื่อสกัดไม่ให้ชัยภูมิหลบหนี และยิง 1 นัด ประกอบกับที่เขาเคยบอกกับพยานของเราว่า ที่เขายิงเขาไม่ได้ตั้งใจ ศาลเลยไปฟังว่า เขาไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ผู้ยิงนั้น
เมื่อเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและทำให้ชัยภูมิเสียชีวิต จึงเป็นการละเมิด และเมื่อเป็นการละเมิดก็เกิดความเสียหายต่อแม่ ซึ่งเป็นโจทก์ที่ต้องได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากชัยภูมิในอนาคต ศาลจึงมีคำพิพากษาว่า กองทัพบกในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องรับผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ
“อย่างน้อยก็ได้รับความเป็นธรรมในระดับหนึ่ง แต่คำถามสำคัญก็คือว่า หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะกองทัพบกที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน สุขทุกข์ของประชาชนด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดแบบนี้ กองทัพบกจะทำอย่างไรในเชิงนโยบายไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และที่เกิดขึ้นมาแล้วควรจะไปทบทวน เอาสถิติเอาข้อเท็จจริงมาดู ไม่ใช่สู้กันจบแล้วจบไป เพราะรัฐมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ต้องดูโดยละเอียดว่าทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก”
จ่ายค่าเสียหายเพียง ‘ครึ่งหนึ่ง’ จากที่เรียกร้องไป
สุธีรา เปงอิน ตัวแทนจาก Protection International (PI) ในฐานะองค์กรที่สนับสนุนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและครอบครัวของชัยภูมิ และกลุ่มด้วยใจรัก (รักษ์ลาหู่) ที่ต้องแสวงหาความยุติธรรมมาตลอด 6 ปี กล่าวว่า เรายินดีที่คำพิพากษาของศาลฎีกายืนยันว่า กองทัพไทยต้องรับผิด โดยการชดเชยค่าเสียหายให้กับครอบครัวจำนวน 2,072,400 บาท จากที่ครอบครัวเรียกค่าเสียหายไป 4,037,068 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ก็เท่ากับให้จ่ายครึ่งหนึ่งที่เรียกร้องไป
ประเด็นหลักคือ ศาลฎีกาให้น้ำหนักกับประจักษ์พยานของโจทก์ ซึ่งต่างจากศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นที่ให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานจากจำเลยคือกองทัพไทย ศาลฎีกาพิจารณาว่า ภาระการพิสูจน์คดีนี้ตกที่จำเลยคือกองทัพ ดังนั้นการที่จำเลยไม่นำกล้องวงจรปิดมาพิสูจน์พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ลายพิมพ์นิ้วมือต่างๆ ไม่สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลย จำเลยมีเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เหมือนพยานหลักฐานของโจทก์คือฝั่งครอบครัวของชัยภูมิ
ขณะที่ ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนจาก PI ระบุเพิ่มเติมด้วยว่า ในกรณีนี้คือการสูญเสียชีวิตของคนคนหนึ่งโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร ทำไมต้องรอให้มีการฟ้องเองเป็นภาระของประชาชน ทำไมก่อนหน้านี้ไม่มีการชดเชยเยียวยาจากฝั่งกองทัพไทยหรือรัฐบาลเลย ที่ผ่านมาเราเชื่อว่ารัฐบาลทหารปกป้องการกระทำของจำเลย เห็นได้จากการที่ไม่มีการชดเชยใดๆ หรือแม้กระทั่งการขอโทษหรือการแสดงความเห็นอกเห็นใจกับครอบครัวของชัยภูมิจากกองทัพไทยและรัฐบาลทหาร
“เราหวังว่ารัฐบาลในขณะนี้จะลงโทษผู้กระทำความผิด ชดเชยความเสียหาย และเยียวยาครอบครัวของชัยภูมิ ที่นอกเหนือจากที่ศาลสั่ง ตามหลักความยุติธรรมในความรับผิด กรณีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการวิสามัญฆาตกรรมประชาชน เพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ดีต่อไปและให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม” ปรานมกล่าว
แม่ชัยภูมิบอกกับลูกว่า “เราได้รับความยุติธรรมแล้ว”
ปอย ป่าแส มารดาของชัยภูมิ กล่าวภายหลังรับทราบคำพิพากษาของศาลว่า ตนรู้สึกดีใจกับคำตัดสินของศาลที่มีออกมาในวันนี้มาก ที่ผ่านมาชัยภูมิเป็นกำลังหลักสำคัญของครอบครัว พอน้องไม่อยู่ครอบครัวก็ทุกข์ทรมานมาก นอกเหนือจากนั้นต้องขอบคุณหลายๆ องค์กรที่เข้ามาช่วยครอบครัวเราต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย วันนี้ตนก็จะพูดกับลูกได้แล้วว่า พวกเราได้รับความยุติธรรมแล้ว
ขณะที่ ยุพิน ซาจ๊ะ และไมตรี จำเริญสุขสกล นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มด้วยใจรัก (รักษ์ลาหู่) ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลและต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับชัยภูมิตั้งแต่แรกเริ่ม กล่าวว่า เราดีใจมากที่การต่อสู้ของพวกเราในครั้งนี้ไม่สูญเปล่า แม้ระหว่างทางของการต่อสู้พวกเราจะพบเจอกับอุปสรรคและแรงกระแทกมากมาย
แต่คำพิพากษาของศาลที่มีออกมาวันนี้ทำให้การต่อสู้ของพวกเราไม่ไร้ความหมาย หลายคนบอกให้พวกเราเลิกต่อสู้ แต่เราบอกพวกเขาไปว่า แม้ระยะเวลามันจะยาวนานหรือเห็นความหวังแต่เพียงริบหรี่เราก็จะสู้ เราเคยให้สัญญาไว้กับน้องชัยภูมิว่าจะนำความยุติธรรมกลับมาให้เขาให้ได้
“วันนี้พวกเราก็ทำได้ การตายของน้องชัยภูมิไม่ได้สูญเปล่าหรือหายไปกับสายลม ความบริสุทธิ์ของน้องได้รับการพิสูจน์จากชั้นศาลแล้ว ขอบคุณทุกคนทุกหน่วยงานที่ช่วยกันต่อสู้จนได้รับความยุติธรรมให้กับครอบครัวของชัยภูมิด้วย”