แม้ก่อนหน้านี้ธุรกิจสินค้าแบรนด์หรูจะเคยเปิดเผยผลประกอบการที่โตขึ้นต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะงักงัน ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของสินค้าแบรนด์หรูและกำลังซื้อของผู้บริโภคระดับบน แต่ล่าสุดดูเหมือนกำลังซื้อกลุ่มนี้ก็หลีกไม่พ้นผลกระทบเชิงลบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่ดี
โดยราคาหุ้นของ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์หรูชั้นนำที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบปี 2023 ในช่วงวันพุธที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทเพิ่งจะเปิดเผยตัวเลขรายได้ล่าสุดที่ต่ำกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลงตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก LSEG พบว่า ในช่วงครึ่งเช้าของตลาดลอนดอนเมื่อวันพุธ (11 ตุลาคม) ราคาหุ้น LVMH ร่วงลง 6% สู่ระดับ 689.4 ยูโรต่อหุ้น ขณะที่ตลาดหุ้นปารีสในเวลาไล่เลี่ยกันปรับตัวลดลง 6.46% สู่ระดับ 686.10 ยูโร โดยการขยับลดลงดังกล่าวยังมีขึ้นหลังจากที่หุ้นของ LVMH เพิ่งจะดิ่งลงแตะ 683.20 ยูโร ทำสถิติเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2022
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดมีขึ้นหลังจากที่บริษัทแบรนด์สินค้าหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นดัชนีชี้วัดการปรับตัวของอุตสาหกรรมสินค้าหรูหรา เปิดเผยผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ และช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นการเติบโตของรายได้รายไตรมาสที่ 9% ลดลงอย่างมากจาก 17% ในไตรมาสที่ 2 ก่อนหน้า อีกทั้งยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตไว้ที่ประมาณ 11%
ในส่วนของรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ พบว่าขยับขึ้น 14% แต่ก็ยังน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่บริษัท LVMH สามารถเติบโตได้ถึง 20%
Jean-Jacques Guiony ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (Chief Financial Officer) ของ LVMH ระบุว่า ยอดขายของ LVMH ทะยานขึ้นในช่วง 3 ปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด ส่งผลให้ผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัทพุ่งเป็นประวัติการณ์ ซึ่งแม้การเติบโตในปัจจุบันของบริษัทจะส่งสัญญาณชะลอตัว แต่การเติบโตดังกล่าวก็ถือเป็นตัวเลขการเติบโตในระดับปกติของบริษัทตามแบบที่ควรจะเป็น
รายงานระบุว่า ตัวเลขรายได้ของบริษัทที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์การเปิดประเทศของจีนที่น่าผิดหวัง และการลดลงของยอดขายในสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะเดียวกัน ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา LVMH เพิ่งจะสูญเสียสถานะบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของยุโรปเมื่อพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ให้กับ Novo Nordisk บริษัทยาของเดนมาร์ก ที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากบริษัทสามารถผลิตยาลดน้ำหนัก Ozempic และ Wegovy ได้
แถลงการณ์ของ LVMH ระบุว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน บริษัทมั่นใจในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะรักษากลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความพึงพอใจของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความถูกต้องและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความเป็นเลิศในการกระจายสินค้า และความคล่องตัวขององค์กร
ราคาหุ้นที่ดิ่งลงของ LVMH ยังฉุดให้ราคาหุ้นสินค้าแบรนด์หรูทั่วยุโรปร่วงลงมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดย Christian Dior ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ Delphine Arnault ลูกสาวของ Bernard Arnault ประธานและซีอีโอของ LVMH ลดลง 5.25%
ด้านหุ้นของ Richemont, Burberry, Hugo Boss, Hermès และ Kering ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของ LVMH พบรายงานการซื้อ-ขายต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของตลาด
Kathleen Brooks ผู้ก่อตั้งบริษัทวิเคราะห์วิจัยทิศทางตลาด Minerva Analysis ระบุว่า พลวัตภายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยกำลังเปลี่ยนแปลง และราคาหุ้นของ LVMH ในปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งโดยปกติสินค้าฟุ่มเฟือยจะทำงานได้ดีในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจตกอยู่ท่ามกลางภัยคุกคามและปัจจัยขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบหลายประการต่ออุตสาหกรรมที่รวมถึงแนวโน้มในอนาคต ซึ่งการที่จีนโตช้าลงเกินคาด บวกกับอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐฯ ที่บั่นทอนความต้องการของชาวอเมริกัน สำหรับ ‘ความหรูหราที่ราคาจับต้องได้’ หรือ ‘Affordable Luxury’
Russ Mould ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของ AJ Bell ชี้ว่า อุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือยมักถูกมองว่าเป็นฉนวนที่ค่อนข้างปลอดจากความผันผวนของเศรษฐกิจ แต่ความคาดหวังและการประเมินมูลค่ากลับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากในเวลานี้
ทั้งนี้ LVMH เป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์หรูมากมาย เช่น Louis Vuitton, Moet Hennessy, Christian Dior, Fendi, Loro Piana, CELINE, KENZO, Loewe, Givenchy, Tiffany & Co., TAG Heuer และ Bulgari
อ้างอิง: