ในชีวิตหนึ่งเราทุกคนล้วนแต่ต้องเคยเดินทางมาถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ช่วงเวลาของการเติบโตจากเด็กวัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่
เพียงแต่การเติบโตนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงเรื่องของวัยหรือการเจริญเติบโตของร่างกายตามธรรมชาติ ซึ่งการเติบโตนั้นจะเกิดขึ้นจากการผ่านบทเรียนของชีวิตที่จะสอนให้รู้จักถึงสิ่งที่เรียกว่าคุณค่าและความหมาย
ส่วนใหญ่แล้วบทเรียนที่ดีไม่ได้มาพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะหรอก แต่จะมาพร้อมกับความเจ็บปวดและน้ำตา
การสอบไม่ผ่านครั้งแรก แข่งกีฬาแพ้เพื่อนครั้งแล้วครั้งเล่า อกหักจากเพื่อนวัยเยาว์ที่ได้แต่ชะเง้อคอยเขาว่าจะเดินผ่านหน้าห้องเรียนไหม
รสขมของชีวิตจะพรมหัวใจให้เติบโตและเข้มแข็ง
ในทางฟุตบอล ทีมอย่างอาร์เซนอลเองก็ดูเหมือนจะผ่านช่วงเวลานี้แล้วเช่นกัน
ชัยชนะเหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้เมื่อคืนที่ผ่านมาคือการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเติบโตขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว และพร้อมสำหรับทุกบททดสอบหลังจากนี้
เกมที่เอมิเรตส์สเตเดียมถูกจับตามองมากพอสมควร ในฐานะการพบกันของรองแชมป์เก่ากับแชมป์เก่าที่เคยชิงชัยความเป็นหนึ่งกันมาในฤดูกาลที่แล้ว
เพียงแต่ระดับความตื่นเต้นของเกมนี้อาจจะไม่สูงนักเมื่อเทียบกับยามที่ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้เคยรบพุ่งกันมาในช่วง 3-4 ฤดูกาลก่อนหน้านี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้คนยังไม่ปักใจเชื่อนักว่าทีมของ มิเกล อาร์เตตา จะสามารถเป็น ‘ผู้ท้าชิง’ ที่แท้จริงได้อีกครั้ง
เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจได้ เพราะตั้งแต่เปิดฤดูกาลมาอาร์เซนอลยังไม่ได้เล่นในระดับเดียวกับที่พวกเขาเคยทำได้ในฤดูกาลก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเด็ดขาดดุดัน ความมหัศจรรย์ในท่วงท่า ความไหลลื่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเข้ามาของผู้เล่นใหม่หลายคนที่ถูกจับยัดใส่เข้ามาในทีมทันที เช่น ดีแคลน ไรซ์ หรือล่าสุดคือ ดาบิด รายา
อีกส่วนคือเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่น เยอร์เรียน ทิมเบอร์ นักเตะใหม่บาดเจ็บรุนแรงตั้งแต่เปิดฤดูกาล ต่อด้วย โธมัส ปาร์เตย์, กาเบรียล มาร์ติเนลลี เรื่อยมาจนถึง บูกาโย ซากา ที่ไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้เป็นเกมแรกในรอบระยะเวลา 2 ปีครึ่ง
และอีกสิ่งที่สำคัญคือเรื่องของความคิดและจิตใจ
วันวานมีโอกาสได้พบเจอกับเพื่อนชาวสิงคโปร์ที่คบหากันมานานกว่าสิบปี เพื่อนคนนี้เป็น Gooners เข้มข้นแต่คมคาย เมื่อเปิดบทสนทนาด้วยการหยอกเอินว่า “ทีมของยูดีนะ น่าจะมีโอกาสได้ลุ้น”
คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ “ไม่หรอก นักเตะอาร์เซนอลไม่ได้ดีพอขนาดนั้น”
ไม่ดีพอในความหมายของเพื่อนคือไม่โตพอ ไม่แกร่งพอ ไม่ได้เจ๋งมากพอ ที่สำคัญคือความคิดที่ยังไม่ Think Big
บทสนทนานี้โผล่ขึ้นมาในหัวของผมหลังจากที่ได้เห็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นฝ่ายครองเกมอย่างสบายใจในช่วงครึ่งแรกของเกมที่เอมิเรตส์สเตเดียม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหากเทียบกับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ยุคก่อนหน้านี้ นี่เป็นทีมที่ดูแล้วอ่อนเกือบที่สุดด้วยซ้ำ
เป๊ป กวาร์ดิโอลา จัดทีมเหมือนหาทางทำตัวเองลำบากขึ้นด้วยการพยายามคิดหลายซับหลายซ้อน นั่นเพราะเกมนี้ไม่มี โรดรี ภูผาหินที่เป็นเสาหลักของทีมที่ต้องชดใช้โทษแบนจากใบแดงแบบงี่เง่าของตัวเอง
ริโก ลูอิส ศิษย์โปรดคนใหม่ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในแดนกลางร่วมกับ มาเตโอ โควาซิช และ แบร์นาโด ซิลวา เพียงแต่ไม่ได้รับบทเป็น Inverted Fullback ตามสมัยนิยมอย่างที่เคยเป็น กลับถูกดันขึ้นสูงไปอยู่ด้านบน
สลับกับแบร์นาโดที่ถูกขอให้ลงมาต่ำเพื่อรับบอลจากคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเพื่อแก้เกมเพรสซิงของอาร์เซนอลให้ได้
ในช่วงแรกมันก็ดูดี แมนฯ ซิตี้ทำทุกอย่างได้ตามแผน เก็บบอลได้ ผ่านบอลไปมาอย่างเยือกเย็น ขณะที่อาร์เซนอลแทบทำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งผู้บรรยายภาษาอังกฤษก็บอกว่า “ถ้าอยากจะแข่งกับแมนฯ ซิตี้ จะเล่นแค่นี้ไม่ได้ ต้องแสดงฝีเท้าให้เห็นมากกว่านี้”
อาร์เซนอลในช่วงนั้นเล่นเหมือนเด็ก ถึงจะบอกว่าตัวเองกล้า แต่ก็เต็มไปด้วยความกลัว
เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ 13 นัดที่ผ่านมาพวกเขาแพ้รวดต่อทีมนี้ แม้กระทั่งในฤดูกาลที่แล้วที่กำลังห้าวหาญกลัดมันที่สุด เมื่อถึงเวลา ‘ตัดสิน’ พวกเขาก็ถูกแมนฯ ซิตี้สอยร่วงด้วยนักเตะที่แสดงให้เห็นถึงระดับชั้นที่แตกต่างและห่างกันอย่าง เควิน เดอ บรอยน์
แต่วันนี้แมนฯ ซิตี้ ไม่มีจอมทัพหัวทองอยู่ในสนาม ดังนั้นถึงจะครองบอลเท่าไร สิ่งที่ขาดหายไปคือเกมรุกที่เงียบเหงา
โอกาสหวาดเสียวมีเพียงแค่ช่วงต้นเกมที่ นาธาน อาเก ควรจะทำประตูขึ้นนำไปตั้งแต่นาทีที่ 4 แล้ว แต่ก็พลาดไปแบบน่าตีมือ และโอกาสนี้ก็มาจากจังหวะต่อเนื่องของลูกเซ็ตเพลย์ไม่ใช่ลูกโอเพนเพลย์แต่อย่างใด
ตลอดทั้งเกม แมนฯ ซิตี้แทบไม่สามารถเซ็ตบอลสวยงามเพื่อเจาะเกมรับของอาร์เซนอลได้
เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ไม่เพียงแต่จะไม่มีโอกาสได้ง้างเท้าสักครั้ง ยังแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสบอล นั่นเพราะ ฟิล โฟเดน กับ ฮูเลียน อัลวาเรซ ไม่สามารถทำในสิ่งที่พวกเขาทำกับคู่แข่งที่ต่ำชั้นกว่าได้ในการสร้างสรรค์โอกาสให้
ส่วนเกมริมเส้นนั้น ไคล์ วอล์กเกอร์ เหนื่อยเกินไปกับการเป็น ‘เรือ’ ที่วิ่งไล่ขึ้นลงทั้งกระดานทางขวา ทางซ้ายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะ ยอสโก กวาร์ดิโอล หนึ่งในเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก ไม่ได้ต่างอะไรจากแบ็กซ้ายธรรมดาที่หาได้ดาษดื่น (ขณะที่โควาซิชเพื่อนของเขาเหมือนจะโชคดีที่ยังได้อยู่ในสนามทั้งๆ ที่น่าจะโดนไล่ออกถึง 2 ครั้ง)
อาจเป็นเพราะจุดนี้เองที่อาร์เซนอลเริ่มรู้สึกว่าพวกเขาสู้ได้
และการเดิมพันในช่วงครึ่งหลังของ มิเกล อาร์เตตา ด้วยการถอด เลอันโดร ทรอสซาร์ด ผู้เล่นที่ได้บอลน้อยที่สุดในครึ่งแรก (แค่ 8 ครั้ง) ออกจากสนาม เพื่อให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ไอ้จรวดนำวิถีแซมบ้าที่เพิ่งหายกลับมาลงมาอาละวาดปั่นป่วนแทน กลายเป็นการเดิมพันที่ได้ผล
ด้วยอารมณ์ร้อนแรง ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีมาร์ติเนลลีก็สามารถสร้างสรรค์โอกาสได้ด้วยจังหวะการลากตัดในก่อนตัดสินใจกึ่งเปิดกึ่งยิงโค้งเลยเสาไกลออกไป
เท่านั้นเองนักเตะ Gunners ก็เริ่มรู้สึก
มันอาจจะเป็นวันของพวกเขา ถ้าเราพยายามได้ดีพอ
ในขณะที่แมนฯ ซิตี้ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา พยายามรักษาเสถียรภาพในการเล่น หัวใจที่เยือกเย็นเป็นน้ำแข็งของพวกเขาก็ค่อยๆ ถูกความร้อนแรงจากหัวใจของอาร์เซนอลละลาย
ยิ่งเล่นก็ยิ่งเป็นรอง ยิ่งเล่นก็ยิ่งตีบตัน และยิ่งเล่นก็ยิ่งหวั่นไหว
การแก้เกมด้วยการส่ง มาเตอุส นูเนส, เยเรมี โดกู และ จอห์น สโตนส์ ลงมาไม่ได้ทำให้แมนฯ ซิตี้ดีขึ้นในเกมนี้ เพราะคู่แข่งของพวกเขานอกจากจะเก่งกว่าทีมคู่แข่งอื่นๆ ที่ไม่สามารถต้านทาน Football Intelligent ของแมนฯ ซิตี้ได้ ก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่ายๆ ด้วย
การเพรสซิงหนักไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย โดยเฉพาะจาก มาร์ติน โอเดการ์ด กัปตันทีมที่มีคาแรกเตอร์เหมือนตัวละครในมังงะที่หากเห็นเพื่อนเริ่มท้อ เขาจะปลุกทุกคนด้วยการเล่นที่ร้อนแรง
มีหลายครั้งที่สตาร์ชาวนอร์เวย์วิ่งไล่จากแดนตัวเองขึ้นไปเพรสซิงถึงแดนของแมนฯ ซิตี้ เพื่อไม่ให้คู่แข่งเซ็ตเกมได้ และต่อให้ลูกทีมของเป๊ปจะถ่ายเทบอลออก เขาก็ยังวิ่งไล่ตามไม่หยุดต่อให้รู้ว่าไล่อย่างไรก็ไม่มีวันแย่งบอลได้ทัน
ถามว่าโอเดการ์ดไล่บอลไปทำไม?
เขาคิดแค่หากมันพอจะช่วยชะลอการเซ็ตเกมของซิตี้ได้สัก 1-2 วินาที ช่วยให้เพื่อนมีเวลาจัดกระบวนรับหรือเหลือบมองว่าคู่แข่งจะขยับตัวไปทางไหน แค่นั้นก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
แต่ผลตอบแทนที่ได้มากกว่านั้นคือการที่นักเตะอาร์เซนอลทุกคนก็เริ่มทำในแบบเดียวกัน เล่นกันเป็นทีมมากขึ้นเรื่อยๆ มั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่ขาดไปมีเพียงแค่ ‘ประตู’
เรื่องนี้คือปราการด่านสุดท้ายที่พวกเขาไม่เคยก้าวผ่านได้
ในขณะที่เวลาเหลือน้อยลงไปทุกที หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คำถามในใจก็จะยังมีอยู่ว่าตกลงแล้วพวกเขาดีพอที่จะเป็น ‘ที่หนึ่ง’ จริงๆ ได้หรือยัง
และหากคำถามนี้ไม่มีคำตอบ มันจะอยู่กับพวกเขาไปอีกนานถึงปีหน้า เพราะกว่าจะพบกันอีกครั้งในการไปเยือนเอมิเรตส์สเตเดียมคือช่วงปลายเดือนมีนาคม 2024
การมีคำถามในใจนานขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับทีมที่ต้องการคำตอบ
แต่สุดท้ายเพราะความพยายามที่จะเอาชนะให้ได้ และการแก้หมากของเกมได้ดีกว่าของอาร์เตตา ด้วยการส่ง ไค ฮาเวิร์ตซ์ ซึ่งลงมาพร้อมกับ โธมัส ปาร์เตย์ และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ มายืนเป็นหัวหอกตัวเป้าที่เขาถนัดและทำได้ดีกว่าการยืนมิดฟิลด์ ความสูงใหญ่ของกองหน้าเยอรมันทำให้แนวรับอย่าง รูเบน ดิอาส และ นาธาน อาเก มีปัญหามาเป็นระยะเมื่อเจอบอลวางยาวมา
บอลมาถึงมาร์ติเนลลี ไอ้หนุ่มน้อยตะบันโดยไม่ลังเล
ลูกยิงของเขายากจะบอกว่าดีพอจะผ่านเอแดร์สันที่อ่านทางรอและพร้อมจะพุ่งไปรับ แต่อย่างน้อยมันหนักแน่นพอที่เมื่อแฉลบเข้าหน้าของอาเก ลูกก็เปลี่ยนทิศเข้าประตูไปทันที
มันอาจจะไม่ใช่ประตูที่สวยงามที่สุด แต่เป็นประตูที่สำคัญและมีความหมายมากเหลือเกิน
ในที่สุดอาร์เซนอลก็เอาชนะแมนฯ ซิตี้ได้
อาร์เตตาชนะเป๊ปได้ในเกมลีก
หลังความเจ็บปวดยาวนาน วันแห่งการเติบโตก็มาถึงเสียที พวกเขาไม่ใช่ละอ่อนน้อยอีกต่อไป
ใหญ่แล้ว โตแล้ว และพร้อมแล้ว