นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปผลงานรัฐบาล 10 วันแรก ที่นำโดย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นคลิปวิดีโอความยาว 10 นาที เผยแพร่ผ่าน Facebook และ YouTube ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2566 หัวข้อ จากนโยบายพรรค สู่การดำเนินงานของรัฐบาล
นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลนี้ตามกฎหมายถือว่าทันทีที่อ่านแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจบ ถือว่ามีสิทธิตามกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน วันนี้คือวันที่ 22 กันยายน ถือว่าเป็นวันครบรอบวันที่ 11 ของการทำงาน ในฐานะที่เป็นรัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
ประชุม ครม. นัดแรก
ในการประชุม ครม. ครั้งแรก มีคำสั่งการต่างๆ ที่ถือว่าเป็นคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในทุกประเด็น เราบอกว่าเราจะลดภาระของประชาชน คือค่าใช้จ่ายในด้านพลังงาน เราพูดถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญก็ตั้งกรรมการในการดูแล เพราะการแก้รัฐธรรมนูญเราต้องใช้เวลา
เราพูดถึงการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
เราพูดถึงภารกิจในการที่เกษตรกรของเราจะต้องเผชิญกับภัยแล้ง เอลนีโญ แล้วเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 2-3 ปี ดังนั้นเราตั้งกรรมการขึ้นมาดูแลทันที และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
สิ่งที่สำคัญคือ ไม่เพียงแต่มีการประกาศเป็นคำสั่ง เราสามารถสร้างงานออกได้ทันที ในสัปดาห์ที่ 2 หลังจากที่มีการมอบหมายค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลง
ทีแรกก่อนเราเข้าไป เราคิดว่าจะสามารถลดราคาค่าไฟฟ้า จากยูนิตเดิมที่เขาปักหมุดไว้ว่าที่เดือนกันยายนคือ 4.45 บาทต่อหน่วย พอเราไปดูเอาเข้าจริงๆ เบื้องแรกเราคิดว่าเราสามารถลดมาจนถึง 4.10 บาท แต่ในสัปดาห์ที่ 2 ด้วยความพยายามเข้าไปดูการบริหารการเงิน แล้วก็โครงสร้างหรือของส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนประกอบของค่าไฟ เราสามารถลดมาจนถึง 3.99 บาท ซึ่งเกินกว่าความต้องการของภาคธุรกิจ ที่บอกว่า 4.20 บาทก็ได้แล้ว
สำหรับค่าขนส่งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญโดยเฉพาะค่าน้ำมันดีเซลที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหมด เราสัญญาว่าจะปรับลงมา ขณะนี้ทำได้ตามสัญญา คือปรับลดราคาของค่าน้ำมันดีเซลลงมาต่ำกว่า 30 บาท เพื่อเป็นประโยชน์ทั่วไป และในส่วนอื่นที่จะดำเนินการตามมาอีก 2 อย่างนี้ ผมว่าเป็นข้อพิสูจน์สำคัญว่าเราทำได้ภายในไม่ถึง 7 วัน
สร้างรายได้
ความสำคัญประการถัดมา เรามุ่งหมายที่จะหารายได้ให้กับประชาชน และประเทศชาติ รายได้ที่เร็วที่สุดจะต้องมาจากการท่องเที่ยว สิ่งที่สำคัญคือต้องไปเปิดประตูที่มันเปิดไม่กว้างพอ การท่องเที่ยวเป็นการนำรายได้จากต่างประเทศที่เข้ามาใช้จ่ายและกระจายไปพร้อมๆ กัน
เพราะฉะนั้น เป็นเบื้องแรกที่สำคัญ ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำคณะไปหารือและดูปัญหาที่แท้จริง เราไปที่ภูเก็ตเพราะเป็นเมืองที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ และเป็นรายได้สำคัญมาก หลายแสนล้านบาทต่อปี เราก็ไปนั่งดูเลย ตั้งแต่เรื่องของสนามบิน การบริการภาคพื้นดินก่อนที่จะขึ้นบิน จำนวนของเที่ยวบิน จำนวนของตัวสนามบินปลายทาง ตลอดจนถึงเรื่องการท่องเที่ยวต่างๆ ไปดูว่าปัญหาเป็นอะไร
สิ่งที่เราทำถัดมาภายในไม่ถึง 1 สัปดาห์ ก็มีมติประกาศให้มีวีซ่าฟรี แปลความว่า เข้าประเทศไทยโดยไม่มีวีซ่าของจีนและคาซัคสถาน สิ่งเหล่านี้ปรากฏหมดแล้ว เราได้รับรายงานจากผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT ในจำนวนเที่ยวบิน และประมาณการของผู้โดยสารที่เริ่มจองเข้ามาแล้วเป็นอย่างไร เห็นว่ามีการเติบโตของจำนวนเที่ยวบินขึ้นไปประมาณ 44% และจำนวนผู้โดยสารขึ้นมา 77% จากเดือนสิงหาคม
ตัวเลขชี้วัดเหล่านี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นการเปิดฝา การเปิดมิติใหม่ของการที่จะนำรายได้เข้าประเทศที่เป็นรูปธรรม
ผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นนะครับว่า สิ่งที่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ สามารถปรากฏผลได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ไม่เพียงแค่นี้นะครับ เมื่อเปิดประตูเรื่องของการท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่สำคัญและจะมีผลในระยะยาวคือการลงทุน
สร้างการลงทุน
การลงทุนขณะนี้ ในหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ประกอบกับอีกหลายๆ เรื่อง ทำให้ต่างประเทศมีความกังวลใจ ขณะนี้เราได้ร่วมพิจารณากับ BOI คือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ว่ามีเจ้าไหนที่เราไปติดต่อเพิ่มเติมได้ จะเห็นได้ว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้จังหวะในการเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ การไปร่วมไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำ จึงถือโอกาสนี้ประกาศให้ประชาชนโลกได้ทราบว่าประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นรัฐบาลที่ดูแลเรื่องเศรษฐกิจของประชาชน รักษาสิ่งแวดล้อมตามแนวทางความต้องการของโลก สิ่งที่เรานำเสนอเป็นความคิดริเริ่มใหม่ๆ นอกเหนือจากการดูแลตามเป้าหมาย ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมตามทิศทางของโลกแล้ว เรายังมีความริเริ่มที่จะทำ Green Fund หรือว่า Green Financing นั่นหมายความว่าจะระดมทุนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
สิ่งเหล่านี้ได้ประกาศในเวทีของที่ประชุมสหประชาชาติประจำปีด้วย เพื่อให้ผลอันนี้เป็นจริง แล้วเดินทางไปถึงที่นั่น ได้มีโอกาสพบปะหารือนักลงทุนระดับโลก อย่างเช่นเราจะเห็น Tesla ของอีลอน มัสก์
แล้ว อีลอน มัสก์ เข้ามาร่วมหารือผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ด้วย มีเรื่องของ SpaceX ก็เข้ามาพบปะหารือ และ Microsoft กับ Google ก็เข้ามา นอกจากนี้มีการหารือร่วมกับกองทุนใหญ่ๆ อย่างเช่น BlackRock ซึ่งเป็นกองทุนใหญ่ระดับโลก ก็สนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย
สิ่งเหล่านี้คือการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลก แน่นอนที่สุด หลายตัวที่เขาไม่สบายใจ นักลงทุนยังไม่สบายใจก็ไขข้อข้องใจ และเราพร้อมที่จะเปิดเอื้ออำนวยให้เข้ามา สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับใคร การลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาเป็นการสร้างงาน สร้างโอกาสมหาศาล ที่ผมพูดมาดังนี้ ผมว่าในรัฐบาลของเรา การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สำคัญคือสร้างความสมดุลและเป็นมิตรกับทุกฝ่าย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นจุดเด่นที่นักลงทุนชาวต่างประเทศให้ความสนใจ
เรายังมุ่งมั่นที่จะเจรจาทางการค้าเพื่อเปิดตลาด และเปิดโอกาสอีกมากมาย เป้าหมายของเราอยู่ที่ EU ทั้ง 20 กว่าประเทศ เราก็คงต้องถือโอกาสฟื้นความสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างประเทศ แล้วดึงให้ประชาชนเชื่อมั่น คนที่มาลงทุนก็จะสามารถค้าขายได้กว้างขวางขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ ในตะวันออกกลางเราก็ยังมีเป้าหมาย อันนี้เป็นคร่าวๆ เพราะฉะนั้นในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ มุ่งมั่นที่จะเป็นมิตรกับในหลายๆ ประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญ
ปัญหาประมง
เรื่องของประมงที่เป็นความเดือดร้อนมาก่อนหน้านี้ เราก็ตั้งกรรมการที่จะเข้าไปแก้ไข แล้วให้ความมั่นใจได้ว่าจะต้องผ่านการเจรจาอีกหลายรอบ แต่เรามั่นใจว่าเราจะต้องปลดเปลื้องสิ่งที่เป็นอุปสรรคให้กับการทำมาหากินของพี่น้องชาวประมงถึง 22 จังหวัดชายทะเล
ปัญหาเกษตรกร
เราไม่เคยละทิ้งเรื่องเกษตรกร อย่างที่เรียนให้ทราบ เพราะฉะนั้นในคณะกรรมการของเรา จะตั้งคณะกรรมการที่จะดูแลเกษตรกร ซึ่งเบื้องแรกก็ต้องไปพักหนี้ของเกษตรกรก่อน
หลายคนอาจมีความเห็นเรื่องวินัยการเงินการคลัง ผมให้คำมั่นว่ารัฐบาลภายใต้ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะรักษาระเบียบวินัยทางการเงินและการคลังทุกย่างก้าว เราย่างก้าวอย่างรอบคอบ และด้วยความคิดริเริ่มที่จะดึงทรัพยากรต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศ หากแต่ร่วมมือกับต่างประเทศ ไม่ใช่เฉพาะของรัฐบาล แต่ร่วมมือกับประชาชนและภาคเอกชน ที่สำคัญภาคเอกชนในภาคธุรกิจคือกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เขามาลงทุนก็มีการจ้างงานเกิดขึ้น แล้วการจ้างงานก็สร้างรายได้
Soft Power
เราไม่ละเลยที่จะดึงศักยภาพซ่อนเร้นของประชาชนไทย จึงตั้งกรรมการที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power เราเคยสัญญาว่าเราจะขุดค้นศักยภาพของคนไทย ขัดเกลา ปรุงแต่ง ให้เป็นรายได้ เราเชื่อมั่นว่าใน 4 ปีนี้จะทำได้
Digital Wallet
สิ่งที่ลืมไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งคือ โครงการ Digital Wallet 10,000 บาทให้กับคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป สิ่งเหล่านี้เราเตรียมแผนตั้งกรรมการขึ้นมา และขณะนี้ความจริงเราทำงานล่วงหน้าด้วยว่าจะจัดการอย่างไร ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน 6 เดือนจะต้องมีการทำงานเรื่องนี้ให้ได้เป็นผลสำเร็จ ก็ดำเนินการไปแล้ว
บางเรื่องเป็นเรื่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ท่านประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับเชิญไปดูงานที่เซี่ยงไฮ้ในเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ กลับกลายเป็นว่าได้โอกาสคุยกับบริษัท Huawei ที่จะมีการเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ไฮไลต์ก็คือเขาจะส่งคนไทยมาฝึกอบรมในระดับมหาวิทยาลัยหรือระดับอาชีวศึกษา ให้เป็นแรงงานที่ทำงานเชี่ยวชาญในเรื่อง AI ซึ่งเงินเดือนเฉลี่ยประมาณ 50,000 บาทต่อคนต่อเดือน แล้วสามารถผลิตประมาณ 10,000 คนต่อปี
ผมว่ารัฐบาลของเราเป็นรัฐบาลของประชาชน เราทำงานร่วมกับพรรคต่างๆ ได้ สิ่งที่เราสามารถดำเนินการได้เลยไม่ต้องรอ ก็ได้แก่การลดราคาของค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมันหรือค่าไฟฟ้า ซึ่งได้เห็นผลไปแล้ว
สิ่งที่ต้องใช้เวลา เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งมีข้อความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งต้องดำเนินการ แม้กระทั่งการทำประชามติตามข้อเสนอของศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ตั้งกรรมการในการจัดการไว้
สิ่งที่เรารับปากไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคณะกรรมการ Soft Power คณะกรรมการ Digital Wallet คณะกรรมการเรื่องการประมง คณะกรรมการเรื่องเอลนีโญ และแน่นอนที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ก็คือ การทำงานร่วมกันระหว่าง กทม. กับรัฐบาล ที่จะแก้ปัญหาของ กทม. ที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน จะได้ประสบความสำเร็จ
“ผมเองก็มีความตื่นเต้นมาก ที่เห็นว่ารัฐมนตรีของเรากระหายที่จะทำงานให้ประชาชน สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน เพียงเริ่มต้นก็มีผลงาน 10 วันนี้ผมยังนึกว่าทำงานมา 3 ปีเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือเราแปรเรื่องที่เป็นนโยบาย คำมั่นสัญญา มาสู่นโยบายของรัฐบาล และแปรไปสู่ผลการกระทำที่ต้องติดตามต่อไป”
อ้างอิง:
