วันนี้ (11 สิงหาคม) เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลนัดเปิดฤดูกาล ไทยลีก 2023/24 ระหว่างทีม โปลิศ เทโร พบกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ณ สนามบุณยะจินดา สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต
โดยกล่าวถึงกรณีคนที่สนับสนุนและคัดค้านการเป็นนายกรัฐมนตรีว่าเป็นเรื่องปกติตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อเป็นนักการเมืองแล้วก็พร้อมที่จะรับฟังทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ หากอันไหนมีเหตุมีผล นำไปแก้ไขได้ก็จะทำ และพร้อมยอมรับการตรวจสอบที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ไปยื่นตรวจสอบจริยธรรมต่อคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา
เศรษฐายืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ตลอดระยะเวลาที่ทำหน้าที่ผู้บริหารบริษัทแสนสิริ มั่นใจในกระบวนการบริหารที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการจริยธรรมจะให้ความเป็นธรรม และขอใช้สิทธิที่จะปกป้องตัวเองในการดำเนินคดีกับชูวิทย์ วันนี้ขอเดินหน้างานการเมืองและการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน หากพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทามติจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าหากได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้วจะได้รับความไว้วางใจทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในการโหวต
เศรษฐาระบุอีกว่า ตนไม่ได้เป็น สส. จึงไม่ได้ไปชี้แจงวิสัยทัศน์ในที่ประชุมโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งถัดไป แต่หากได้รับเลือกไปแล้วก็อาจมีการพูดคุยกัน และมั่นใจในการเดินหน้าของทีมเจรจาที่จะพูดคุยกับ สว. โดยเฉพาะในสภาวะการเมืองที่ไม่ปกติ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยและคณะเจรจาทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
เศรษฐายังเปิดเผยว่า ได้เจอกับ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 2-3 ครั้งแล้ว ยืนยันยังคุยกันด้วยดี ส่วนการปราศรัยก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ในขณะนี้พรรคภูมิใจไทยและอนุทินก็ถอนฟ้องไปแล้ว แต่ไม่ได้ขอให้พรรคภูมิใจไทยช่วยหาเสียงโหวตให้ หวังแค่มาทำงานร่วมกัน โดยจะนำนโยบายทั้ง 2 พรรคมาพูดคุยกันและทำการเมืองสร้างสรรค์ ส่วนเรื่องโหวตมั่นใจจะได้รับการโหวตผ่านในครั้งแรก
ส่วนการจัดสรรคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐาระบุว่า หากตัวเองได้รับการโหวตผ่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้การนำจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยมีพรรคร่วมหลายพรรค ตนจะมีส่วนร่วมในการจัด ครม. แต่ยังไม่ขอคิดไปไกลในตอนนี้ว่าจะทำงานร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ เพียงแต่มองว่าเป็นการพัฒนาที่ดี หลังจากแถลงจับมือกับหลายพรรคการเมือง
ทั้งนี้ เศรษฐาไม่ได้ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับพรรค 2 ลุง โดยยึดหลักการเรื่องนโยบายและการแก้ปัญหาประชาชนเป็นเรื่องหลัก และย้ำว่าหากพรรคใดมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยจะต้องทำตามนโยบายหลักในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติ
ส่วนที่เคยประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรค 2 ลุงนั้น เศรษฐาไม่ได้ตอบ บอกเพียงว่าดีลจัดตั้งรัฐบาลนอกเหนือจากที่แถลงข่าวไปขอพูดเพียงแค่นี้ ขอให้ สส. ใช้เอกสิทธิ์ร่วมโหวตให้ผ่านไปได้ จากนั้นค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“เรื่องของการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ในการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม และผลก็ประจักษ์อยู่แล้ว วันนี้ต้องอยู่กับความเป็นจริง เราต้องการมีรัฐบาล พรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไขปัญหาของประชาชน แก้ไขเรื่องรัฐธรรมนูญ แก้ไขเรื่องความขัดแย้ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเข้ามาเป็นรัฐบาล ส่วนเรื่องนโยบายของพรรคร่วมก็เป็นเรื่องของพรรคที่ต้องนำมาพิจารณา” เศรษฐากล่าว
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าดิจิทัลฟุตพรินต์หรือเหตุการณ์ที่เคยพูดไว้ในอดีตจะกลับมาทิ่มแทงตัวเอง เศรษฐาบอกว่า ต้องมีคำอธิบาย
ส่วนกรณีที่ชูวิทย์เตรียมจะเปิดข้อมูลครั้งที่สองในสัปดาห์หน้า ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงที่อาจมีการกำหนดวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เศรษฐาระบุว่า ต้องรอดูว่าชูวิทย์จะพูดถึงข้อมูลอะไร ขอให้เรื่องทั้งหมดอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้รู้สึกอะไร เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะและมาทำงานการเมืองก็ต้องลดขีดจำกัดด้านอารมณ์ของตัวเอง ไม่ต้องการให้บั่นทอนกำลังใจในการทำงาน พร้อมชี้แจงว่าการหายไปประมาณ 10 วัน ไม่ได้หายไปไหน ยังคงทำงานกับคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย แม้จะโหวตผ่านหรือไม่ผ่านในครั้งต่อไป แต่พรรคเพื่อไทยยังคงเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล