วานนี้ (8 สิงหาคม) อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นการชุมนุมของกลุ่มทะลุวังที่บุกพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า กลุ่มผู้ชุมนุมก็มีหลากหลายกลุ่ม ตอนนี้เกิดกลุ่มใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย และตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่าทำไมถึงต้องไปดูถูกน้องๆ เยาวชนแต่ละกลุ่ม เขาจะทำอะไรก็คิดเอง เราไม่ได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น ซึ่งความเห็นของสังคมที่ออกมากลายเป็นเหมารวมพรรคก้าวไกลไปด้วย อาจเพราะเรามีความใกล้ชิดกับน้องๆ เยาวชนตั้งแต่สมัย เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ อานนท์ นำภา
อมรัตน์กล่าวต่อว่า ความรู้สึกส่วนตัว ถึงจะอายุมากแล้ว เราก็เคารพให้เกียรติคนทุกวัยอยู่แล้ว ทุกคนก็มีสิทธิออกมาใช้เสรีภาพพลเมือง จะอายุน้อยหรืออายุมากก็พลเมือง มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน ทำอะไรถูกผิดก็เป็นความรับผิดชอบส่วนตัว และยังไม่ได้ทราบว่าใครทำอะไร ไม่ได้มอนิเตอร์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ท่าทีที่ออกมาค่อนข้างใช้คำหยาบคายไม่สุภาพ อมรัตน์กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ชอบทำตัวเป็นแม่รู้ดี หรือเป็นคุณครูรู้ดี ที่ต้องมาบอกให้เราต้องทำอะไร ต้องเพิ่มอะไร ลดอะไร ผิดถูกก็ว่ากันไป ซึ่งการแสดงออกของแต่ละคนหนักเบาไม่เท่ากัน เราไม่ได้มีสภาพเป็นหน่วยเหนือผู้บังคับบัญชาหรืออะไร ทำหน้าที่เพียงให้คำปรึกษากฎหมาย และประกันตัวให้ออกมาสู้คดี จะให้ไปชี้นิ้วเป็นคุณครูเขาก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง ส่วนพรรคก้าวไกลเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่นั้น หากพูดว่าพรรคก้าวไกลไม่มีความเกี่ยวข้องก็จะถูกมองว่าเป็นการปัดให้พ้นตัว ทุกคนเดี๋ยวนี้โตๆ กันแล้ว ความหนักเบาที่แต่ละคนแสดงออกก็ไม่เหมือนกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่มีคนคิดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่มีความก้าวร้าว เป็นผลผลิตของพรรคก้าวไกล อมรัตน์กล่าวว่า ไม่จริง ตอนนี้เป็นยุคสื่อโซเชียล ทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราไม่ได้ไปอยู่เบื้องหลังอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ช่วงที่ม็อบเบ่งบาน เราอาจจะมีบทบาทการไปประกันตัว ซึ่งคดีที่ไปประกันตัว ไม่ได้ไปบอกว่าถูกหรือผิด เพราะคนที่จะบอกว่าถูกหรือผิดคือศาล
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนปรามาสว่าพรรคก้าวไกลหากจะขึ้นมาบริหารประเทศ แต่ยังคุมกลุ่มมวลชนไม่ได้จะเกิดปัญหาความแตกแยก อมรัตน์กล่าวว่า เยาวชนหนุ่มสาวสมัยนี้มีใครไปชี้นำเขาได้ เขามีความคิดเป็นของตัวเอง พ่อแม่ปลุกให้ตื่น หรือให้ทำอะไร หากเขาไม่เห็นด้วย แม้เป็นพ่อแม่ยังไม่ทำตามเลย แล้วเราเป็นอะไร เราไม่ได้เป็นผู้ปกครองเขา และเราก็ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าใครผิดก็ว่าไปตามผิด แต่จะมาบอกว่า เหมารวมพรรคก้าวไกลอยู่เบื้องหลังทั้งหมดมันไม่ใช่ ก็ขอความเป็นธรรมให้กับเราด้วย ไม่ใช่เป็นการปัดอะไรให้พ้นตัวด้วย พูดตามข้อเท็จจริง แต่ละคนก็มีความคิดจิตใจเป็นของตัวเอง อย่างวันที่ออกมาจากรัฐสภา โหวตนายกรัฐมนตรีรอบ 2 เขายังไม่ให้ สส.ขึ้นเวทีเลย เพราะบอกว่าเป็นเวทีของประชาชน เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง
“เราไม่เคยสนับสนุนแม้แต่เงินทอง มีเพียงช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายเท่านั้น และเราไม่ได้รู้จักกับกลุ่มเยาวชนทุกคน รู้จักเพียงกลุ่มแรกๆ ที่มาเป็น สส.ในพรรคกันหมดแล้ว”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองการกระทำของกลุ่มทะลุวังเมื่อวานนี้เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ อมรัตน์กล่าวว่า ก็เป็นอารมณ์โกรธแค้น และเป็นการแสดงออกไปตามจริตของแต่ละคน เราโกรธเรื่องอะไรก็แสดงออกในระดับนี้-ระดับนั้น ตนก็ไม่ทราบ แต่ถ้ามันเกินไปจนถึงระดับผิดกฎหมาย เสียมารยาท หรือไปทำให้ใครบาดเจ็บ ไปขว้างปาอะไรใส่ใคร ก็เป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ
อมรัตน์กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงบอกว่าจะให้ไปสั่งสอนตอนนี้ก็ไม่กล้าสั่งสอน เพราะเราจะเอาสิทธิอะไรไปสั่งสอนเขา เพราะเขาไม่ได้เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา จะไปสอนอะไร เดี๋ยวก็โดนเด็กตอกหน้ากลับมาว่าคุณเป็นใคร ก็ได้แต่เฝ้ามอง พร้อมย้ำอีกว่า ไม่ได้รู้จักส่วนตัว และหากเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุก็เป็นเรื่องของกฎหมาย ตนไม่ได้สนับสนุนให้ทำอะไรที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่ตอนนี้สังคมมองว่าพรรคก้าวไกลเป็นเนื้อเดียวกับผู้ชุมนุม เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราเองก็ไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่งสอน เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร