ญี่ปุ่นออกกฎห้ามส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จำนวน 23 รายการไปยังจีน ซึ่งถือเป็นการเดินตามรอยสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ที่ดำเนินนโยบายในรูปแบบเดียวกันไปก่อนแล้ว
Yoshiaki Takayama ผู้เชี่ยวชาญจาก Japan Institute of International Affairs ระบุว่า คำสั่งห้ามส่งออกอุปกรณ์สำหรับผลิตชิปของญี่ปุ่นในครั้งนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาและผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของจีนในระยะสั้นถึงปานกลาง ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ของจีนอีกด้วย
สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า หนึ่งในลิสต์อุปกรณ์ที่ญี่ปุ่นสั่งห้ามส่งออกคืออุปกรณ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการ EUV (Extreme Ultraviolet) Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้สร้างรูปแบบวงจรที่ซับซ้อนในชิปคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
การดำเนินนโยบายกีดกันทางเทคโนโลยีต่อจีนของญี่ปุ่นในครั้งนี้มีความสอดคล้องกับนโยบายที่สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ได้บังคับใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยปัจจุบันบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นเจ้าตลาดของเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการ EUV Lithography ได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้ส่งออกสินค้าไปยังจีน
ในปีที่ผ่านมา จีนมีการนำเข้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากญี่ปุ่นมากถึง 1 ใน 3 โดยบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์สำคัญของจีนคือ Tokyo Electron และ Screen Holdings
อย่างไรก็ดี ระเบียบของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นยังคงเปิดช่องให้บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่นสามารถส่งสินค้าไปยังจีนได้ ในกรณีที่อุปกรณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง
ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายกันว่าทางการจีนจะออกมาตรการตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน หลังจากที่ก่อนหน้านี้จีนได้ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการสั่งแบนชิปจากบริษัท Micron Technology ไปแล้ว ขณะเดียวกันยังออกมาตรการควบคุมการส่งออกโลหะแกลเลียม (Gallium) และเจอร์เมเนียม (Germanium) ซึ่งเป็นโลหะที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ สื่อสารโทรคมนาคม และรถยนต์ไฟฟ้า ไปยังสหรัฐฯ
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในญี่ปุ่นมีการนำเข้าแกลเลียมจากจีนซึ่งถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก หากจีนสั่งห้ามส่งออกโลหะสำคัญดังกล่าวให้กับญี่ปุ่นเพื่อตอบโต้ อุตสาหกรรมชิปของญี่ปุ่นก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยยังต้องจับตาดูอีกว่าสงครามทางเทคโนโลยีระหว่างชาติมหาอำนาจในครั้งนี้จะสร้างผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกมากน้อยเพียงใด
อ้างอิง: