ชัยชนะของ การ์ลอส อัลการาซ เหนือ โนวัค โยโควิช เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (16 กรกฎาคม ต่อเช้ามืดวันที่ 17 กรกฎาคม) แม้จะไม่ใช่ชัยชนะครั้งแรกของอัลการาซที่มีเหนือ ‘โนเล่’ แต่ก็เป็นชัยชนะครั้งสำคัญที่เป็นการพิสูจน์ว่า วงการเทนนิสชายเดินทางมาสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว
อัลการาซที่ได้รับสมญานามใหม่ให้สอดคล้องกับการเป็นราชาของยุคสมัยใหม่อย่าง ‘คิงการ์ลอส (King Carlos)’ พลาดท่าต่อโยโควิชไปก่อนในเซ็ตแรกแบบขาดลอย 1-6 แต่กลับมาตีเสมอได้ในเซ็ตที่ 2 เป็น 1-1 หลังดวลไทเบรกเอาชนะไปได้ 8-6 ก่อนมาถึงไฮไลต์สำคัญของแมตช์คือ การดิวซ์กัน 13 ครั้ง กินเวลาไปถึง 26 นาที 56 วินาที ก่อนส่งให้อัลการาซขึ้นนำ 2-1 เซ็ต
แม้เซ็ตที่ 4 ‘โนเล่’ จะทวงคืนมาได้ 1 เซ็ต และทำให้เกมมาเสมอกันที่ 2-2 เซ็ต แต่สุดท้ายอัลการาซก็เล่นเซ็ตที่ 5 ได้อย่างมั่นใจ ก่อนเบรกเสิร์ฟนักหวดรุ่นพี่ และเอาชนะแมตช์นี้ไปได้ 3-2 เซ็ต สกอร์ 1-6, 7-6 ไทเบรก 8-6, 6-1, 3-6 และ 6-4 ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์แกรนด์สแลมสมัยที่ 2 ในอาชีพได้สำเร็จ
ชัยชนะแมตช์นี้เป็นชัยชนะแมตช์ที่ 2 ในอาชีพของอัลการาซที่มีเหนือโยโควิช หลังจากที่ทั้งคู่เคยเจอกันมาในมาดริดโอเพนเมื่อปีก่อน ในรอบรองชนะเลิศ โดยในปีนั้นอัลการาซก็เอาชนะไป 2-1 เซ็ต สกอร์ 6-7 ไทเบรก 5-7, 7-5 และ 7-5 ไทเบรก 7-5
หลังจากมาดริดโอเพน โลกก็รอให้ทั้งสองคนกลับมาพิสูจน์ฝีมือกันอีกครั้ง แต่เหมือนจะไม่ได้มีการพิสูจน์อย่างจริงจังกันเลย แม้แต่ในรอบรองชนะเลิศที่เฟรนช์โอเพนเมื่อเดือนก่อนผลก็จบลงด้วยชัยชนะของโนเล่แบบไม่ค่อยสมศักดิ์ศรี เพราะอัลการาซไปมีอาการตะคริวหลังจบเซ็ตที่ 2 ทำให้โยโควิชคว้าแชมป์แกรนด์สแลมที่ 3 ไปได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่ในเกมที่เซ็นเตอร์คอร์ตของออลอิงแลนด์คลับนั้นต่างออกไป ทั้งคู่ต้องทุ่มเททุกอย่างออกมาเพื่อวัดกันว่าใครเป็นนักเทนนิสที่ดีกว่า และเป็นอัลการาซที่แสดงความยอดเยี่ยมออกมาได้ โดยเฉพาะในการเล่นเซ็ตที่ 5 ที่ผู้บรรยายทางช่อง ESPN ใช้คำว่า ‘Stone Cold’ หรือ ‘เลือดเย็น’ ออกมาในหลายๆ จังหวะที่เขาไล่ต้อนโยโควิช
ชัยชนะของอัลการาซจึงไม่ใช่แค่การคว้าแชมป์แกรนด์สแลมที่ 2 ในอาชีพเท่านั้น หากแต่ยังเป็นชัยชนะของยุคสมัยที่อาจจะหมายความว่า วงการเทนนิสชายผลัดใบจากยุค ‘Big 3’ ก้าวผ่านมาสู่ยุคของ ‘คิงการ์ลอส’ อย่างเป็นทางการแล้วก็ได้
เป็นเรื่องธรรมดาของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยในวงการกีฬา ก่อนหน้านี้วงการเทนนิสหญิงได้ผลัดใบจากยุคของ เซรีนา วิลเลียมส์ มาสู่ยุคของ แอชลีห์ บาร์ตี และเปลี่ยนมาสู่ของยุค ‘Rivalry’ ของ อีกา ซิออนเท็ก กับ อารีนา ซาบาเลนกา อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นอย่าง ออนส์ ยาเบอร์ กับ เอเลนา รีบาคินา เป็นตัวสอดแทรก
แต่วงการเทนนิสชายไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างยาวนานเหลือเกิน โดยทันทีที่วงการเทนนิสชายก้าวสู่ยุคของ Big 4 (ก่อนลดลงมาเหลือ Big 3 เพราะอาการบาดเจ็บของ แอนดี มาร์รีย์) ในปี 2003 วิมเบิลดันถูกผูกขาดแชมป์ประเภทชายเดี่ยวโดยนักเทนนิสแค่เพียง 4 คน ได้แก่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, แอนดี มาร์รีย์, ราฟาเอล นาดาล และ โนวัค โยโควิช
ภาพ: Wimbledon
ที่น่าตลกกว่านั้นคือ ก่อนหน้าที่ ‘คิงโรเจอร์’ จะเอาชนะ มาร์ก ฟิลิปปูสซิส อดีตนักหวดมือวางอันดับ 8 ของโลกชาวออสซี คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์วิมเบิลดันครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ปี 2003 ก่อนหน้านั้นเพียงแค่ 2 เดือน เด็กชายการ์ลอส อัลการาซ กาเฟีย ชายผู้ที่จะก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์วิมเบิลดันในอีก 20 ปีต่อมา เพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก!
นั่นหมายความว่า อัลการาซเติบโตขึ้นมากับยุคสมัยแห่ง Big 4 ที่แท้จริง และเขาเองนี่แหละที่เป็นคนซึ่งจะทำให้ยุคสมัยแห่ง Big 4 ที่ปัจจุบันเหลือแค่ Big 2 แล้วก็ว่าได้ ผ่านพ้นไป
ชัยชนะของอัลการาซในเกมนี้ นอกจากจะเป็นเหมือนระฆังในการเปลี่ยนยุคสมัยแล้ว เขายังทำให้ความฝันในการกลายเป็นนักเทนนิสคนแรกในรอบ 50 ปีที่สามารถคว้าคาเลนดาร์สแลม (Calendar Slam) หรือการได้แชมป์แกรนด์สแลมทั้ง 4 รายการในปีปฏิทินเดียวกันของโยโควิชระเหยไปกับแสงแดดยามเย็นที่ SW19 ทันที
มีการตั้งข้อสังเกตกันระหว่างการแข่งขันเกมรอบชิงชนะเลิศเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาระหว่างนักวิเคราะห์และผู้บรรยายเทนนิสกันอย่างน่าสนใจ
แพทริก แมคเอ็นโร ที่บรรยายร่วมกับ จอห์น แมคเอ็นโร และ คริส ฟาวเลอร์ คุยกันว่า หากพ้นปีนี้ไปแล้ว โอกาสที่โยโควิชจะเอาชนะ การ์ลอส อัลการาซ อาจจะไม่เหลืออีกแล้วก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว
ในวัย 36 ปี โยโควิชสามารถทำอย่างดีที่สุดคือ การรักษาสภาพร่างกายของเขาไม่ให้แย่ลงกว่าเดิมได้เท่านั้น โอกาสที่เขาจะเพิ่มศักยภาพร่างกายของตัวเองให้ดีกว่าเดิมในวัย 37 ปี หรือ 38 ปีนั้น เรียกได้ว่า ‘แทบเป็นไปไม่ได้’ เพราะเหมือนจะเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติอย่างมาก
ตรงกันข้ามกับคิงการ์ลอส ที่ปัจจุบันอายุเพียง 20 ปีเศษๆ เท่านั้น นั่นหมายความว่า เขายังมีเวลาและโอกาสในการพัฒนาทักษะของตัวเองอีกหลายปี นอกจากนี้แล้วร่างกายของนักกีฬามักจะมีจุดพีคอยู่ที่ราวอายุ 25-28 ปี ซึ่งยังห่างไกลมากสำหรับอายุของเขาในปัจจุบัน
เวลาจึงเป็นของอัลการาซ เขามีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ตรงข้ามกับโยโควิชที่มีแต่จะดร็อปลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นประเด็นที่ผู้บรรยายทั้ง 3 คนคุยกันว่า “หากพ้นปีนี้ไปแล้ว โอกาสที่โยโควิชจะเอาชนะ การ์ลอส อัลการาซ อาจจะไม่เหลืออีกแล้วก็ได้” อาจจะเป็นเรื่องจริงมากๆ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนๆ ของโนเล่ก็อย่างเพิ่งคอตกกันไป แม้จะบอกว่าเทนนิสกำลังจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ภายใต้การเถลิงอำนาจของคิงการ์ลอสก็ตาม แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีนักกีฬาคนไหนที่ ‘ชนะไปได้ตลอด’ นอกจากนี้การจับฉลากที่ไม่เข้าทาง พื้นคอร์ต โชค และอาการบาดเจ็บ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลทั้งหมด
อาจจะจริงที่ว่า “หากพ้นปีนี้ไปแล้ว โอกาสที่โยโควิชจะเอาชนะ การ์ลอส อัลการาซ อาจจะไม่เหลืออีกแล้วก็ได้” แต่ก็อาจจะจริงเช่นกันว่า “โยโควิชอาจจะไม่ได้เจอกับอัลการาซในรอบชิงชนะเลิศยูเอสโอเพนก็ได้” เช่นกัน
ไม่มีสมการตายตัวที่จะบอกว่าอัลการาซจะไร้เทียมทาน ไม่แพ้ใครเลย หรือไม่บาดเจ็บใดๆ เขามีโอกาสที่จะ ‘โชคร้าย’ ไม่ต่างจากนักเทนนิสทั่วไปเช่นกัน และต่อให้เขาจะไม่ได้โชคร้าย และมาเจอกับโยโควิชในรอบตัดเชือกหรือรอบชิงชนะเลิศที่ฟลัชชิงเมโดว์ ในมหานครนิวยอร์ก ก็ไม่ได้หมายความว่านักหวดมือวางอันดับ 1 จากสเปน รายนี้จะเอาชนะโยโควิชได้อีกครั้งแน่นอน
ต้องอย่าลืมว่า คอร์ตเปลี่ยน การเล่นก็ต้องเปลี่ยน และแม้อัลการาซจะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการแรกในชีวิตที่ยูเอสโอเพน แต่ในปีนั้นยูเอสโอเพนก็ไร้โยโควิช หลังจากที่เจ้าตัวอดเล่นเพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดนั่นเอง
คำพูดที่ว่า “หากพ้นปีนี้ไปแล้ว โอกาสที่โยโควิชจะเอาชนะ การ์ลอส อัลการาซ อาจจะไม่เหลืออีกแล้วก็ได้” นั่นจึงสามารถตีความหมายได้ว่า การเล่นในรายการใหญ่ๆ ของปีนี้ที่เหลืออยู่ ทั้งยูเอสโอเพนและเอทีพีไฟนอลส์ ทางด้านโยโควิชก็อาจจะไม่ได้เป็นรองมากมายขนาดนั้น
นั่นจึงหมายความพร้อมกันว่า เราๆ ท่านๆ ก็จะยังได้ดูเทนนิสคุณภาพอย่างแน่นอน หากโยโควิชกับอัลการาซเจอกันในรายการใดก็ตาม ตลอดเวลาที่เหลืออยู่ในปีนี้…เป็นอย่างน้อย
แน่นอนว่าเวลาอยู่ข้าง การ์ลอส อัลการาซ และการผลัดใบในวงการเทนนิสชายเกิดขึ้นแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใบไม้ใบเก่า ใบที่ยิ่งใหญ่ และใครต่างก็รู้จัก จะร่วงโรยลงไปในทันทีเสียหน่อย ไม่ต่างกับคลื่นลูกใหม่ที่ซัดมาขณะที่คลื่นลูกเก่ายังไม่ถึงฝั่ง
หากบอกว่าคิงการ์ลอสจะเป็นเสาหลักของเทนนิสชายในยุคต่อไป เรื่องนี้ยากจะหาข้อโต้แย้ง แต่หากบอกว่า เพราะการขึ้นมาของอัลการาซจะทำให้โยโควิชไม่ได้แชมป์แกรนด์สแลมที่ 24 นั้น นับเป็นคนละเรื่องกันอย่างแน่นอน
สำหรับแฟนๆ เทนนิสและแฟนๆ กีฬา ช่วงเวลาที่เหลือหลังจากนี้ก่อนที่ โนวัค โยโควิช จะโรยรา จึงเป็นช่วงเวลาที่ห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่กีฬาเทนนิสสนุกที่สุดในรอบหลายปีก็ได้
เพราะมันคือช่วงเวลาที่ ‘คลื่นลูกใหม่มาแรง’ จะเข้าปะทะกับ ‘คลื่นลูกเก่าที่ยิ่งใหญ่’ อย่างแท้จริง
อ้างอิง:
- https://nymag.com/intelligencer/2023/07/carlos-alcarazs-wimbledon-win-announces-a-new-era-in-tennis.html
- https://english.mathrubhumi.com/sports/tennis/alcaraz-s-triumph-in-wimbledon-the-begining-of-new-era-in-tennis-1.8738308
- https://www.sundayworld.com/sport/kevin-palmer-we-have-a-new-era-in-tennis-all-hail-wimbledon-champion-carlos-alcaraz/a512619428.html
- https://www.japantimes.co.jp/sports/2023/07/17/tennis/alcaraz-beats-djokovic-wimbledon/
- https://www.dailymail.co.uk/sport/tennis/article-12304755/This-Novak-Djokovic-against-world-watched-grow-old-lost-Carlos-Alcaraz.html
- https://www.tennismajors.com/wimbledon-news/king-carlos-dethrones-novak-djokovic-to-win-his-maiden-wimbledon-title-and-underline-the-arrival-of-tennis-new-era-697370.html
- https://ftw.usatoday.com/2023/07/wimbledon-announcers-espn-abc-2023
- https://espnpressroom.com/us/press-releases/2023/07/wimbledon-gentlemens-championship-live-sunday-july-16-at-9-a-m-et-on-espn-espn-and-espn-deportes/