จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งซูเปอร์สตาร์ที่จะย้ายไปค้าแข้งในซาอุ โปรลีก กับสโมสรฟุตบอลอัล-เอติฟาค (Al Ettifaq)
เรื่องนี้ถือเป็นข่าวที่ช็อกความรู้สึกไม่เพียงแค่แฟนฟุตบอลลิเวอร์พูล แต่รวมถึงวงการฟุตบอลอังกฤษด้วย เนื่องจากไม่มีสัญญาณมาก่อนหน้านี้ว่ากัปตันทีมของหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษจะย้ายออกจากแอนฟิลด์แม้แต่น้อย
และภาพของนักฟุตบอลที่มีภาพลักษณ์ดีเด่น เป็นบุคคลที่วางตัวดีมาโดยตลอดอย่างเฮนเดอร์สัน กับการรับข้อเสนอมหาศาลอันแสนเย้ายวนใจในลีกที่ระดับชั้นห่างไกลจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นเรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการอย่างมาก
แต่เพราะทุกสิ่งเป็นไปได้ในโลกใบนี้ และเวลานี้จับทิศทางข่าวจากหลายสำนักที่รายงานตรงกัน ไม่ว่าจะเป็น The Times, Telegraph หรือ The Athletic ค่อนข้างชัดเจนว่ากองกลางวัย 33 ปี ซึ่งเพิ่งกลับมารายงานตัวฝึกซ้อมกับสโมสรในช่วงพรีซีซันสำหรับฤดูกาลใหม่ 2023/24 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สนใจและพิจารณาข้อเสนอของอัล-เอติฟาคอย่างจริงจัง
โดยเหตุผลที่ทำให้เฮนเดอร์สันหวั่นไหวคือจำนวนค่าตอบแทนที่มากมายมหาศาลในระดับพลิกชีวิตได้เลยทีเดียว
ตามรายงานข่าว ‘เชื่อว่า’ ข้อเสนอจากแดนทะเลทรายจะทำให้เขาได้รับค่าตอบแทนมากกว่าที่ได้จากลิเวอร์พูลถึง 4 เท่า ซึ่งปัจจุบันเฮนเดอร์สันรับค่าเหนื่อยจากลิเวอร์พูลอยู่ที่ราว 190,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นั่นหมายถึงเขาจะได้รับค่าตอบแทนใกล้ๆ 800,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เลยทีเดียว โดยอาจจะไม่ต้องหักภาษีด้วย
ข้อเสนอดังกล่าวดีเกินกว่าที่จะปฏิเสธได้ง่ายๆ เพราะสุดท้ายแล้วนักฟุตบอลอาชีพก็คืออาชีพหนึ่งที่ทำมาหากินเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
สำหรับเฮนเดอร์สันในวัย 33 ปี เขาอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิตการเล่น ซึ่งสำหรับนักฟุตบอลอาชีพแล้ว ‘สัญญาใหญ่ฉบับสุดท้าย’ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสที่จะได้รับค่าตอบแทนในระดับนี้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้กัปตันทีมลิเวอร์พูลเคยคิดว่าเขาได้รับสัญญาฉบับนั้นไปแล้วในการต่อสัญญาเมื่อปี 2021 ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวถึง 4 ปีด้วยกัน และเป็นสัญญาที่เขาได้มาโดยความช่วยเหลือของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ช่วยต่อรองกับสโมสรให้เสนอสัญญาฉบับนี้ต่อเฮนเดอร์สัน
ตามนโยบายของลิเวอร์พูล นักฟุตบอลที่อายุเกิน 30 ปี เกณฑ์ในการพิจารณาสัญญานั้นจะไม่ใช่สัญญาระยะยาว และจะลดค่าเหนื่อยลง ซึ่งเดิมเฮนเดอร์สันก็ไม่พ้นเกณฑ์นี้ แต่เพราะคล็อปป์คิดว่าคุณค่าของกัปตันทีมต่อสโมสรและทีมชุดปัจจุบันมีสูงเกินกว่าที่จะปล่อยให้การต่อรองสัญญายืดเยื้อจึงเข้ามาแทรกแซง และทำให้ได้สัญญายาวถึง 4 ปี
นั่นหมายถึงหากอยู่ครบสัญญาเฮนเดอร์สันจะอายุ 35 ปีพอดี ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่ตัดสินใจอำลาวงการได้พอดี หรืออาจจะหาความท้าทายครั้งสุดท้ายกับสโมสรอื่น ก็จะได้จัดพิธีขอบคุณและอำลาอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
อย่างไรก็ดี เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ของชีวิต ในช่วงที่ลิเวอร์พูลกำลังทำการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ และมีการเสริมกองกลางเข้ามาแล้ว 2 ราย คือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล ทั้งยังมีข่าวกับ โรเมโอ ลาเวีย กองกลางดาวรุ่งอนาคตไกลจากเซาแธมป์ตันด้วย
เฮนเดอร์สันตระหนักดีว่าสถานะภายในทีมของเขาจะถูกลดลง จากการเป็นผู้เล่นคนสำคัญสู่การเป็นนักเตะระดับ Squad Player ที่จะถูกเรียกใช้งานตามความเหมาะสม ในแบบเดียวกับที่ เจมส์ มิลเนอร์ เป็นให้กับทีม ซึ่งในฤดูกาลที่แล้วแม้จะได้โอกาสลงเล่น 43 นัด แต่ก็ออกสตาร์ทตัวจริงแค่ 23 นัดเท่านั้น
ข้อเสนอจากอัล-เอติฟาค ซึ่งเพิ่งได้ สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูลที่เป็นผู้ส่งมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับเฮนเดอร์สันหลังอำลาสโมสรในปี 2015 มาเป็นผู้จัดการทีม ที่มาพร้อมกับค่าตอบแทนมหาศาล และโอกาสในการจะได้เป็น ‘ศูนย์กลาง’ ของทีม ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นข้อเสนอที่ไม่ได้แย่เกินไป
เพราะตั้งแต่ย้ายมาจากซันเดอร์แลนด์ในปี 2011 เฮนเดอร์สันรับใช้ลิเวอร์พูลอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน และที่สำคัญคือเป็นกัปตันทีมคนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่แม้แต่เจอร์ราร์ดเองก็ไม่เคยทำได้ ไม่นับการที่กวาดแชมป์แบบ ‘ครบเซ็ต’ คือได้ทุกรายการใหญ่ที่ลงแข่งขัน
งานที่เหลือในแอนฟิลด์ของเขาต่อจากนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการพาทีมกลับมาผงาดและได้โอกาสโชว์ลีลาการ ‘Shuffle’ หรือการซอยขายิกๆ ก่อนชูถ้วยแชมป์อีกครั้ง แต่เป็นหน้าที่ของการประคับประคองทีมในช่วงเปลี่ยนผ่านเสียมากกว่า
เพื่อรอเวลาที่จะได้จัดเกมอำลาอย่างยิ่งใหญ่เหมือนที่ครั้งหนึ่งเจอร์ราร์ด และตำนานคนอื่นๆ เคยได้รับในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
เรื่องนี้แม้จะมีความหมายอย่างมาก แต่ชีวิตนักฟุตบอลอาชีพมันสั้น และบางครั้งก็ต้องเลือก ซึ่งดูเหมือนเฮนเดอร์สันจะเลือกแล้วว่าเขาคิดว่า ‘พอแล้ว’ กับชีวิตในแอนฟิลด์ หลังลงเล่นมาถึง 492 นัดแล้ว และการไปของเขาจะหมายถึงการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นนักเตะใหม่อย่าง แม็ค อัลลิสเตอร์, โซโบสไล หรือดาวรุ่งในทีมอย่าง เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ สเตฟาน บายเซติช ที่กำลังดีวันดีคืน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้คือการแจ้งข่าวอย่างเป็นทางการต่อคล็อปป์ ซึ่งจะเป็น ‘ด่านแรก’ ที่แฟนบอลลิเวอร์พูลบางส่วนที่ยังไม่ต้องการให้เฮนเดอร์สันไปจากทีมในตอนนี้และแบบนี้คาดหวังว่านายใหญ่ชาวเยอรมันจะช่วยเปลี่ยนความคิดของกัปตันทีม และเป็นไปได้ที่เขาอาจจะตัดสินใจไม่ไปไหน
แต่หากคล็อปป์ไม่ติดขัดอะไร ก็จะไปสู่กระบวนการเจรจากันระหว่าง 2 สโมสร ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่ เพราะอัล-เอติฟาคเองไม่คิดจะเสนอค่าตัวอะไรให้มากมายนัก เพราะเฮนเดอร์สันอายุถึง 33 ปีแล้ว หากลิเวอร์พูลไม่พอใจข้อเสนอก็สามารถปฏิเสธได้ เป็นเรื่องปกติของวงการฟุตบอล
แต่สโมสรจากซาอุดีอาระเบียก็หวังว่าหากลิเวอร์พูลเข้าใจความต้องการของกัปตันทีมที่รับใช้สโมสรมาอย่างยาวนานก็ควรที่จะเปิดทางให้ได้จากกันด้วยดี
อย่างไรก็ดี หากการย้ายทีมครั้งนี้เกิดขึ้นจริงก็จะนำไปสู่คำถามที่สั่นคลอนความเชื่อของโลกฟุตบอลไม่น้อย เพราะในบรรดานักเตะที่ย้ายไปค้าแข้งในซาอุดีอาระเบียนั้น นักเตะในประเภทที่ไม่น่าเชื่อว่าจะไปมากที่สุดก็คือคนอย่างเฮนเดอร์สัน
นักเตะที่สง่างามและเป็นสุภาพบุรุษเสมอ
นักเตะที่เป็นผู้นำของทั้งสโมสรและทีมชาติไม่ว่าจะอยู่ในสนามหรือนอกสนาม
นักเตะที่เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม โดยเฉพาะเรื่องของการเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญของการสนับสนุนชาว LGBTQIA+ ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่ผิดครรลองแต่ยังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายด้วย
และหากอัล-เอติฟาค ซึ่งไม่ใช่ 1 ใน 4 สโมสรใหญ่ที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (PIF) เข้าไปสนับสนุน กระชากตัวนักเตะอย่างเฮนเดอร์สันเข้ามาได้จริง
นี่คือการประกาศชัยชนะครั้งสำคัญของซาอุดีอาระเบียต่อโลกฟุตบอล และบางทีเราอาจต้องหันมามองอย่างจริงจังว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการจากการพยายามเข้ามา Disrupt วงการฟุตบอลครั้งรุนแรงที่สุด
เป็นแค่เกมสนุกๆ หรือพวกเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้น
อ้างอิง: