เกิดอะไรขึ้น:
ในช่วงปลาย 2Q ถึงต้น 3Q66 คาดว่าภาคการบริโภคจะอ่อนตัวลงจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ โดย SNNP ใช้กลยุทธ์การตลาดและปรับบรรจุภัณฑ์บาง SKU เช่น กลุ่ม Magic Farm เพื่อบริหารต้นทุนและเพิ่มโอกาสการส่งออก ขณะที่ประเทศที่ SNNP มีฐานการผลิตคือ เวียดนาม และกัมพูชา ถูกกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเป้าการเติบโตของปีนี้ที่ยอดขายในประเทศเติบโต 15% และต่างประเทศเติบโต 30% มีโอกาสทำได้จากอัตราเร่งในช่วง 2H66 และการติดตามผลกระทบของเศรษฐกิจในเวียดนามที่อาจส่งผลต่อกำลังการผลิตในช่วงปีแรกของ SNNP
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น SNNP ปรับลดลง 4.16%MoM อยู่ที่ระดับ 24.20 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 3.98%MoM อยู่ที่ระดับ 1,479.57 จุด
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน:
2Q66 คาดการณ์รายได้ที่ 1,515 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.5%YoY และ 6.7%QoQ) โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากในประเทศที่ 75% เติบโต 19%YoY และ 5%QoQ ขณะที่รายได้จากต่างประเทศที่ 25% เติบโต 7%YoY และ 20%QoQ ใน 2Q66 แม้ยังเห็นการเติบโตของยอดขาย แต่บริษัทมีการกระตุ้นยอดขายทั้งการทำการตลาดและการให้ส่วนลด เนื่องจากเริ่มเห็นการบริโภคที่อ่อนแอลงในบางพื้นที่
Gross Margin ใน 2Q66 คาดว่าระดับที่ 28% ดีขึ้น YoY แต่ทรงตัว QoQ จากปัจจัยด้านฤดูกาลและส่วนผสมของ Product Mix ที่รายได้มาจากกลุ่มเครื่องดื่มมากขึ้น แต่ให้ Gross Margin ที่ต่ำกว่าขนมขบเคี้ยว และระดับ SG&A/Sales คาดว่าทรงตัว QoQ
ดังนั้น คาดกำไรสุทธิของ 2Q66 ที่ 160 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 38.2%YoY และ 4.2%QoQ) ทำ New High เชิงไตรมาส และทำให้ 1H66 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 314 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 42%YoY)
ส่วนปี 2566 ประมาณการรายได้ที่ 6,260 ล้านบาท เติบโต 13% สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเท่ากับ 28% มูลค่าเติบโต 30% ขณะที่รายได้จากในประเทศคาดว่ามีสัดส่วน 72% มูลค่าเติบโต 13.5% และคาดกำไรสุทธิที่ 692 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34%YoY) ทำ New High
นอกจากนี้ โรงงานใหม่ในประเทศเวียดนามยังก่อสร้างและผลิตตามแผน โดยคาดว่าจะช่วยหนุนระดับ Gross Margin ใน 2H66 ให้สูงกว่า 1H66 จากการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น โดยล่าสุด Lotus ที่ผลิตในเวียดนามให้ Gross Margin ที่สูงกว่าในประเทศไทย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน InnovestX Research คงคำแนะนำ ‘ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว’ โดยใช้สมมติฐาน PER ที่ 31.5 เท่า (+1SD) ราคาเป้าหมายปี 2566 เท่ากับ 25.50 บาทต่อหุ้น และคาดหวังที่จะเห็นการเปิดธุรกิจเสริมอาหารในปี 2566 เพื่อต่อยอดการเติบโต รวมไปถึงการเติบโตของตลาดต่างประเทศ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การบริหารต้นทุน, การบริหารโรงงานในต่างประเทศ, ความผันผวนของค่าเงิน, การเปลี่ยนแปลงของข้อกฎหมายต่างๆ และการปรับขึ้นของค่าแรง