**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ Vinland Saga Season 1-2**
ธอร์ฟินน์ เด็กน้อยชาวไอซ์แลนด์ ได้กระโจนเข้าสู่สนามรบด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะแก้แค้นให้กับพ่อของตนที่ถูกสังหารโดย อาสเคอลัดด์ ผู้นำของกลุ่มทหารรับจ้าง ธอร์ฟินน์ที่ตกอยู่ในภวังค์ของความโกรธจึงออกติดตามกลุ่มคนเหล่านั้นพลางฝึกฝนฝีมือในการเป็นนักฆ่า เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ อาสเคอลัดด์ที่เห็นดังนั้นจึงหยิบยื่นข้อเสนอให้พร้อมสัญญาว่าเขาจะประลองฝีมือกับธอร์ฟินน์อย่างสมศักดิ์ศรีหากเด็กน้อยมาทำงานให้กับเขา
แต่แล้วอาสเคอลัดด์ก็ถูกสังหารในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองโดยเจ้าชายคนุตแห่งเดนมาร์ก เนื่องจากเขาปลงพระชนม์กษัตริย์และคิดจะทวงคืนอำนาจทางสายเลือดของตัวเอง จนธอร์ฟินน์ได้มาพบกับเขาที่นอนอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับถูกชายผู้เป็นเหมือนพ่อคนที่สองและศัตรูคู่แค้นถามในสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน
“เจ้าคิดจะใช้ชีวิตยังไงจากวันนี้ไปถึงอนาคตอีกนานหลังจากที่ข้าตายไปแล้ว เจ้าคิดจะใช้ชีวิตยังไงธอร์ฟินน์”
การตายของอาสเคอลัดด์ทำให้ธอร์ฟินน์ได้รู้แล้วว่า นอกจากแก้แค้น ชีวิตของเขามีแต่ความว่างเปล่า…
นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของ Vinland Saga และการเดินทางของธอร์ฟินน์ เด็กน้อยที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสมรภูมิจนเติบใหญ่ด้วยการเข่นฆ่าผู้อื่นเรื่อยมา แต่หลังจากที่สูญเสียเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง เขาได้กลายเป็นทาสและถูกซื้อไปโดย เคทิล เจ้าของฟาร์มขนาดใหญ่ผู้แสนใจดี พร้อมกับได้เจอพวกพ้องอีกมากมายที่จะช่วยค้นหาคำตอบว่านอกจากการแก้แค้น ชีวิตของเขายังมีสิ่งที่สามารถทำได้อีกมากมาย
ครั้งแรกที่ธอร์ฟินน์ปรากฏตัวในฐานะทาส เขาคือชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความอาลัยตายอยาก ในแต่ละวันเขาทำเพียงแค่ตัดไม้เพื่อถางป่าเอาไว้ทำไร่ให้กับเจ้านายโดยไร้เป้าหมายอื่นใด ซึ่งความหมดอาลัยตายอยากของเขาก็นำไปสู่พฤติกรรมที่มองข้ามคุณค่าชีวิตของตัวเอง
แต่การมาถึงของ เอนาร์ ชายผู้รักในความถูกต้องที่ตกเป็นทาสเพราะไฟสงคราม ทำให้ธอร์ฟินน์เริ่มตระหนักว่าชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เกิดจากการฆ่าคนมากแค่ไหน และการที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ก็มีเพียงแต่ต้องแบกรับความจริงนั้นไปด้วย
การได้พบกับเอนาร์จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของเขาเริ่มมีความหมายมากขึ้น และนับจากนี้ธอร์ฟินน์บุตรแห่งธอร์สจะไม่จับอาวุธขึ้นมาเพื่อพรากชีวิตของผู้อื่นอีก แม้มันจะไม่สามารถลบล้างความผิดในอดีตของเขาได้ แต่นี่คงเป็นเพียงไม่กี่ทางที่เด็กหนุ่มจะพอทำได้เพื่อไถ่บาปของตัวเอง
จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ธอร์ฟินน์ได้เติบโตและเริ่มสนิทสนมกับคนในฟาร์มมากขึ้น โดยเฉพาะ อาร์นีด หญิงสาวผู้เป็นทาสส่วนตัวของเคทิล, งู อดีตนักรบผู้ผันตัวมาเป็นหัวหน้าทีมคุ้มกัน และ สเวอร์เคล นายผู้เฒ่าเจ้าของฟาร์มตัวจริงก่อนที่จะส่งต่อให้ลูกชายอย่างเคทิลดูแล
อาร์นีดเป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีพอๆ กับจิตใจที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของเธอ แต่เบื้องหลังของหญิงสาวคนนี้คือการที่เธอสูญเสียคนสำคัญทั้งหมดไปจากสงคราม เช่นเดียวกับเอนาร์ที่ถูกพรากครอบครัวไปด้วยสาเหตุเดียวกัน ชายหนุ่มจึงเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอมากที่สุด และพยายามจะช่วยเหลือหญิงสาวให้หลุดพ้นจากการตกเป็นทาสส่วนตัวของเคทิล ซึ่งเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเธอก็เป็นบทพิสูจน์ที่แสนเศร้าว่าสงครามไม่เคยนำมาซึ่งสิ่งใดนอกจากความสูญเสีย
ส่วนงู เขาเป็นอดีตนักรบเช่นเดียวกับธอร์ฟินน์ แต่หลายครั้งเราจะเห็นได้ว่าทั้งสองคนมักมีเรื่องที่ไม่ค่อยลงรอยกัน เพราะงูเชื่อว่าคุณค่าในการเป็นนักรบของเขาอยู่ที่ การจับดาบเพื่อปกป้องสิ่งสิ่งหนึ่งแม้มันจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นก็ตาม ซึ่งสวนทางกับความคิดของธอร์ฟินน์ที่ว่าความรุนแรงไม่เคยนำมาซึ่งสันติสุขที่แท้จริง
ถึงกระนั้นงูก็คิดเสมอว่าหากคุณค่าในการเป็นนักรบอยู่ที่การจับดาบเพื่อเข่นฆ่าผู้อื่น เหตุใดเขาถึงหนีมาจากสนามรบและใช้ชีวิตอยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ งูจึงเป็นเหมือนตัวละครที่อยู่กึ่งกลางระหว่างธอร์ฟินน์ในอดีตกับธอร์ฟินน์ในปัจจุบัน เขาอาจกำลังตั้งคำถามว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ คืออะไร และการจับอาวุธเพื่อทำร้ายคนอื่นโดยอ้างว่าปกป้องคือสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณค่าในการเป็นนักรบของเขาหรือไม่
หากอาร์นีดกับเอนาร์เป็นเหยื่อของสงครามที่ต้องก้าวผ่านความทุกข์ งูกับธอร์ฟินน์ก็คงเป็นคนที่พยายามตามหาความหมายในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองโดยที่ไม่ต้องยึดติดกับสนามรบอีกต่อไป พลางค้นหาคำตอบที่แท้จริงของคำว่า ‘นักรบ’ ไปในเวลาเดียวกัน
และการได้พบกับสเวอร์เคล นายผู้เฒ่าคนสำคัญของฟาร์มก็ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสลองใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ธอร์ฟินน์ได้รู้จักสิ่งที่มีค่ามากกว่าการฆ่าคน เอนาร์ได้เรียนรู้วิธีการทำงานต่างๆ ในไร่ อาร์นีดได้สัมผัสกับวิถีชีวิตแบบครอบครัวอีกครั้ง และงูได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าตัวเขาต้องการอะไร
เหตุผลที่สเวอร์เคลดูแลทุกคนอย่างดีเพราะเขาคิดว่าต่อให้เป็นทาสหรือนักรบ หากใครก็ตามที่ทำงานอย่างสุดความสามารถ คนคนนั้นก็สมควรที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเสมอภาคในฐานะมนุษย์ และตลอดระยะเวลาที่ธอร์ฟินน์อาศัยอยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ นายผู้เฒ่าคือคนที่ชี้แนะให้พวกเขามองเห็นคุณค่าชีวิตของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ที่สำคัญคือไม่ว่าใครก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ นี่จึงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่ทำให้ธอร์ฟินน์เริ่มเข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาเคยสอนเอาไว้
อย่างไรก็ตาม นอกจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับธอร์ฟินน์ เราจะเห็นได้ว่าทั้งเคทิลผู้เป็นเจ้าของฟาร์มคนปัจจุบัน และ โอลมาร์ ลูกชายคนรองของครอบครัว ต่างก็มีพัฒนาการไปตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
เริ่มจากเคทิล เขาเป็นชายผู้มั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สินและปัญญา แถมยังเป็นคนจิตใจดีที่พร้อมให้โอกาสเหล่าทาสในฟาร์มได้ปลดแอกตัวเอง ซึ่งธอร์ฟินน์กับเอนาร์ก็เป็นคนที่ถูกเขาหยิบยื่นมิตรไมตรีนั้นให้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเห็นได้ว่าภายใต้คราบของเศรษฐีนักบุญ เคทิลเองก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป เขามีความอ่อนแอ มีความโกรธ และมีเรื่องโกหกที่หลอกลวงผู้อื่นมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็นำไปสู่การสูญเสียครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
แต่มันก็ไม่อาจเทียบได้กับโอลมาร์ เด็กหนุ่มผู้มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเดินตามรอยเท้าของพี่ชาย ในช่วงแรกเราจะเห็นว่าโอลมาร์เป็นตัวละครที่มีความมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ ความั่นใจเหล่านั้นมาจากการที่เขาเป็นลูกชายของเคทิล และเชื่อว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ได้ในสักวัน
กระทั่งโอลมาร์ค้นพบความจริงว่าการเป็นนักรบไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งไปกว่านั้นคือมันไม่ใช่แบบที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้ การฆ่าคนโดยไม่ลังเลเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มไม่อาจทำได้ เพราะลึกๆ แล้วนอกจากความกลัว โอลมาร์รู้ดีว่าตัวเขาไม่อาจมองข้ามชีวิตของผู้อื่นได้เหมือนกับพี่ชายที่กระหายในการต่อสู้
ความไร้เดียงสาและอ่อนแอของเขาจึงตกเป็นเครื่องมือที่คนุตใช้เป็นข้ออ้างในการบุกยึดฟาร์ม ซึ่งโอลมาร์ก็ทำได้เพียงแต่กล่าวโทษตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่า ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่เขามี จะทำให้เด็กหนุ่มที่เคยเต็มไปด้วยความโอ้อวดเติบโตขึ้นจนสามารถเรียกตัวเองว่า ‘ลูกผู้ชาย’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ในขณะที่เส้นทางชีวิตของธอร์ฟินน์กำลังดำเนินไปอย่างผาสุก คนุตที่ในตอนนี้กลายเป็นกษัตริย์ของชาวไวกิ้งได้เดินหน้าทำสงครามอย่างไม่ลดละ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากพระเจ้าไม่สามารถสร้างโลกในอุดมคติ เขาในฐานะกษัตริย์ก็จะใช้อำนาจสร้างมันขึ้นมา แม้จะต้องเหยียบยำศพของผู้บริสุทธิ์มากมายก็ตาม
คนุตรู้ดีว่าเส้นทางที่เขาเลือกไม่ต่างอะไรกับพ่อที่ตัวเองชิงชัง วิญญาณของอดีตกษัตริย์ผู้ล่วงลับที่ตามหลอกหลอนเขาราวกับเป็นคำสาปของมงกุฎที่กำลังสวมใส่ ทว่าความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้คนนั้นเป็นของจริง และมันจะไม่มีวันสั่นคลอน
จนเขาได้พบกับธอร์ฟินน์อีกครั้งที่ฟาร์มของเคทิล และต้องประหลาดใจว่าเด็กน้อยที่ตนเคยรู้จักในวันนั้นไม่ใช่คนเดียวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในวันนี้ การเจรจาสันติของคนทั้งสองทำให้เราเห็นว่าคนุตไม่ได้อยากทำสงคราม แต่เป็นเพราะความตั้งใจที่มากเกินไปจนหลับหูหลับตาของเขาต่างหากที่สร้างผีร้ายอย่างพระเจ้าสเวนขึ้นมา
หลังจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าอีกครั้ง คนุตจึงสั่งให้กองทัพทั้งหมดถอยร่นจากฟาร์มของเคทิล พร้อมกับฟาร์มอื่นๆ ที่เขาส่งคนไปยึด เพราะตอนนี้กษัตริย์หนุ่มรู้แล้วว่าคนที่แสวงหาซึ่งสันติไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวอีกต่อไป แม้วิธีการจะต่างกัน แต่ธอร์ฟินน์ก็ทำให้เขาตระหนักว่าโลกในอุดมคติที่แท้จริงไม่อาจไขว่คว้ามาได้ด้วยการใช้อำนาจเพียงอย่างเดียว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฟาร์มแห่งนี้ยังทำให้เราเห็นว่ามนุษย์มีหลายด้านและพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เช่นเดียวกับธอร์ฟินน์ที่ค้นพบเป้าหมายชีวิตหลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ร่วมกับเอนาร์และคนอื่นๆ ตอนนี้ชายหนุ่มเข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาเคยพูดเอาไว้แล้วว่า “นักรบที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องมีดาบ” หมายถึงอะไร
สำหรับชาวไวกิ้ง การจับอาวุธเพื่อเข่นฆ่าผู้อื่นอาจเป็นความหมายของพวกเขาในฐานะนักรบ แต่สำหรับธอร์ฟินน์บุตรแห่งธอร์ส การปกป้องชีวิตผู้อื่นอย่างสุดความสามารถโดยหลีกเลี่ยงการต่อสู้ต่างหากคือความหมายที่แท้จริงของการเป็นนักรบ
นับจากนี้ชายหนุ่มที่เคยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสนาบรบจะหันหลังให้การต่อสู้ และจะก้าวเดินไปบนเส้นทางเดียวกับพ่อของเขา เพื่อที่วันหนึ่ง Vinland ดินแดนในอุดมคติที่ทุกคนเฝ้าใฝ่ฝันจะกลายเป็นจริง เหมือนคำพูดที่ว่า ตัวเขาไม่มีศัตรู และไม่มีใครเป็นศัตรูของใครด้วยเช่นกัน
แม้ในโลกของเรา ‘สันติ’ ดูเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากความจริง แต่เราหวังว่าวันหนึ่งธอร์ฟินน์จะสามารถสร้างโลกที่ปราศจากสงครามตามความปรารถนาของเขาได้สำเร็จ
หากอยากติดตามเรื่องราวของชายผู้มีชื่อว่าธอร์ฟินน์บุตรแห่งธอร์ส สามารถดู Vinland Saga Season 1-2 ได้ทาง Netflix