วันนี้ (12 มิถุนายน) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท ผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าสายสีเขียว
มีรายงานว่าสาระสำคัญการหารือวันนี้ เพื่อหาทางออกร่วมกันต่อแนวปฏิบัติว่าจะมีความเป็นไปได้ทางไหนบ้างเกี่ยวกับการใช้หนี้ประมาณหมื่นล้านบาทที่สะสมมาจากการบริหารจัดการเดินรถของบีทีเอส
สำหรับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทางผู้บริหารกรุงเทพมหานครย้ำชัดเจนก่อนหน้านี้ว่า เรื่องหนี้สินถึงอย่างไรก็ต้องรอให้รัฐบาลตัดสินใจ เพราะคำสั่งเดิมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ยังมีผลบังคับใช้ และ กทม. เคยทำหนังสือสอบถามไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี 2565 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน
ส่วนอีกประเด็นที่เกี่ยวโยงคือ การต่อสัญญาส่วนต่อขยายที่ 2 เส้นทางช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นการต่อสัญญาที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ผ่านสภา กทม. โดยตอนนี้สภา กทม. ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
ภายหลังการหารือร่วมกันครั้งแรกประมาณ 30 นาที ชัชชาติกล่าวว่า วันนี้เป็นการหารือเรื่องค่าจ้างงานระบบรถไฟฟ้า และเรื่องการเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) กทม. เตรียมแผนไว้แล้วมี 2 ขั้นตอน ขณะนี้รอให้สภา กทม. อนุมัติการใช้จ่ายเงินสะสม ซึ่งการเบิกจ่ายต้องนำประเด็นเข้าสภา กทม. พิจารณาและตั้งคณะกรรมการวิสามัญ ที่ผ่านมาประชุมแล้ว 5 ครั้ง
ทุกคนเห็นว่าการดำเนินการติดตั้งแล้ว เหลือเพียงทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนตัวเห็นใจเอกชน เพราะมีภาระหนี้สินจำนวนมาก แต่ทั้งนี้ขอให้เข้าใจว่าทุกอย่างมีระเบียบปฏิบัติ มีคณะทำงาน สภา กทม. ต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมซึ่งศึกษามาแล้วระยะหนึ่ง และคาดว่าสมัยที่ตนเป็นผู้ว่าฯ กทม. น่าจะพร้อมที่จะจัดการแล้ว
จากนี้ กทม. จะติดตามในส่วนของรัฐบาลประกอบการพิจารณา รวมไปถึงขอการสนับสนุนงบประมาณส่วนโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านคีรีกล่าวว่า ขอขอบคุณท่านผู้ว่าฯ กทม. ที่ให้เข้ามาพูดคุยด้วย แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกแต่ก็เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจกันมากขึ้น ขอบคุณที่เข้าใจถึงเอกชนที่มีภาระแบกรับมาตลอด วันนี้เราเข้าใจกันแล้วว่าระบบการเดินรถทั้งหมดเป็นเรื่องที่ติดตั้งเรียบร้อยและได้ใช้ไปแล้ว กทม. ก็ได้เซ็นอนุมัติ ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องชำระ
ขอบคุณผู้ว่าฯ กทม. ที่พยายามจะนำประเด็นนี้เข้าสภา กทม. เพื่อจะผลักดันเรื่องให้มีการใช้จ่าย ส่วนตัวเข้าใจว่าในต้นเดือนกรกฎาคมนี้จะมีการเปิดสภา กทม. และเรื่องนี้ทางผู้บริหาร กทม. จะไปขอให้สภา กทม. เข้าใจและอนุมัติในที่สุด
คีรีกล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าเราจะมีเงินก้อนนี้ที่เป็นส่วน E&M หรือค่างานติดตั้งไฟฟ้าและเครื่องกล เข้ามาในบริษัทได้ ซึ่งถ้าถึงวันนั้นตนเชื่อว่าเงินประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาทจะได้รับการชำระถูกต้อง
ในส่วนงบค่าใช้จ่าย O&M หรือค่าเดินรถและซ่อมบำรุงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ที่อยู่ในคำสั่งเดิมของ คสช. ตามมาตรา 44 ตนยอมรับว่าไม่ทราบว่าทาง ครม. รักษาการนี้จะทำอะไรได้บ้าง เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ได้ผ่านในชุดรัฐบาลที่แล้ว แม้จะมีการนำเรื่องเข้า-ออกการประชุม ครม. ประมาณ 3-4 ครั้ง
ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลที่ผ่านมาอาจจะไม่เข้าใจดีถึงปัญหาดังกล่าว แต่หากรัฐบาลรักษาการจะทำให้เรื่องนี้จบได้ ซึ่งเป็นเงินจำนวนใหญ่สำหรับบริษัทอีกประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าทำได้ก็ทำ แต่ถ้ารัฐบาลหน้าจะทำก็ได้
คีรีกล่าวต่อว่า วันนี้ไม่มีอะไรติดใจ แต่มาขอให้ทาง กทม. โดยเฉพาะผู้ว่าฯ ให้เห็นใจ หนี้สินก้อนนี้สิ่งที่เรามีส่วนด้วยวันนี้มันเกิน 5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น E&M คือการติดตั้งระบบ 2 หมื่นล้านบาท อีกส่วนคือ O&M วันนี้ ซึ่งตัวเลขที่พูดคุยเป็นตัวเลขเท็จจริงทั้ง 2 ส่วน วันนี้ผมเชื่อว่าเราได้เข้าใจกันแล้ว ซึ่งท่านผู้ว่าฯ ได้กรุณาจะเอาเข้าสภาเพื่อเห็นชอบและอนุมัติ พร้อมได้รับการยืนยันว่าจะพยายามทำให้เร็วที่สุด
วันนี้ผมบริหารการเดินรถนี้อย่างสุดความสามารถ จากตัวเลขต่างๆ รางวัลต่างๆ ที่ได้จากทั่วโลก ยืนยันได้ว่าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจบริการผู้โดยสารอย่างดีที่สุด แต่เวลานี้ซึ่งการเงินที่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นความจริงว่าเงินก้อนมันโตจนบริษัทสภาพไม่คล่อง
ชัชชาติกล่าวเสริมว่า การอนุมัติเรื่องสัญญาที่ก่อหนี้ผูกพันต้องมีสภา กทม. เป็นผู้อนุมัติ การเอาเงินคงเหลือของ กทม. มาจ่ายอะไรต้องให้สภา กทม. อนุมัติทุกอย่าง เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจว่าสภา กทม. เองก็มีภารกิจหลายเรื่องนอกจากเรื่องรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องออกกฎหมายมากมาย ถึงวันนี้การมีคณะกรรมาธิการที่ดำเนินงานมาหลายเดือนก็ทำให้มีความเข้าใจที่มากขึ้น
ในส่วนของค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน ถ้ารัฐบาลสามารถช่วยเหลือ กทม. ได้ก็จะง่ายขึ้น ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ต้องพิจารณาขั้นที่ 1 คือจะให้กรุงเทพธนาคม หรือ เคที ตรวจสอบก่อนว่ามีสัญญาผูกพันจำนวนเท่าไร อย่างไร และประเด็นที่สองคือนำเงินสะสม กทม. ออกมาใช้ ซึ่งต้องผ่านกรรมการสภาพิจารณา ทั้งนี้ต้องมีการดูหลายมิติ