ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแคนาดาเผชิญหน้ากับปัญหาไฟป่ามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์นี้ที่วิกฤตไฟป่าในแคนาดารุนแรงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ทางการแคนาดาเร่งอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยบางส่วนแล้ว ก่อนที่กลุ่มควันจากไฟป่าจะเคลื่อนตัวข้ามพรมแดนประเทศเข้าสู่สหรัฐอเมริกา เปลี่ยนท้องฟ้าในหลายเมืองให้กลายเป็นสีส้ม กระทบต่อชีวิตของผู้คนหลายล้านคนทั้งในแคนาดาและสหรัฐฯ
ทางการแคนาดาคาดการณ์ว่าวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นในปีนี้จะลุกลามและเผาไหม้พื้นที่เป็นวงกว้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคนาดา ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ได้รับความเสียหายจากไฟป่าแล้วกว่า 15.6 ล้านไร่ ขณะที่ปี 2014 เป็นปีที่แคนาดาได้รับความเสียหายจากไฟป่ามากกว่า 28.1 ล้านไร่ มากสุดในรอบทศวรรษ
วิกฤตไฟป่าในแคนาดาเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทางการท้องถิ่นของแคนาดาอย่างรัฐแอลเบอร์ตาที่มีพรมแดนทางตอนใต้ติดกับพื้นที่ทางภาคเหนือของสหรัฐฯ ได้ประกาศสภาวะฉุกเฉินเนื่องจากไฟป่าเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะตรวจพบไฟป่าที่ปะทุขึ้นและยังคงลุกไหม้อยู่กว่า 400 จุดทั่วประเทศในสัปดาห์นี้ (7 มิถุนายน)
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าไฟป่ากว่า 2,000 จุดในแคนาดาที่ปะทุขึ้นในปีนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ มีบางพื้นที่ที่เกิดจากฟ้าผ่า โดยเฉพาะพื้นที่แถบรัฐควิเบก ซึ่งก่อนหน้านี้การจัดการพื้นที่ป่าไม้ที่ไม่มีประสิทธิภาพก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่มักจะได้รับการกล่าวถึงว่ามีส่วนเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงตามมา
โดยทั่วไปแล้วปัญหาไฟป่ามักจะกระจุกตัวอยู่ทางพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศ ขณะที่พื้นที่ด้านตะวันออก ซึ่งรวมถึงรัฐควิเบกและรัฐโนวาสโกเชียนั้น มักได้รับความชื้นและมีอากาศที่เย็นขึ้นจากลมทะเลที่พัดมาจากมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ จึงทำให้มีโอกาสเกิดไฟป่าทางพื้นที่แถบนี้ได้น้อยกว่าพื้นที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ด้านตะวันออกของประเทศก็ยังสามารถเกิดไฟป่ารุนแรงขึ้นได้หากมีบริบทแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดไฟป่า และในปีนี้หลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกของแคนาดาก็กำลังประสบกับภาวะภัยแล้ง อากาศแห้งและร้อน ซึ่งเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เราจึงเห็นไฟป่าเกิดขึ้นได้ในหลายจุดทั่วแคนาดา
ไฟป่าในครั้งนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือไม่ อย่างไร
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมมองว่าไฟป่าในแต่ละครั้งนั้นไม่สามารถเชื่อมโยงโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้โดยอัตโนมัติขนาดนั้น เนื่องจากวิทยาศาสตร์มีความซับซ้อนและมีปัจจัยที่เกี่ยวพันกับมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาทิ วิธีการจัดการกับที่ดินและป่าไม้ ก็มีส่วนที่อาจจะทำให้เกิดไฟป่าขึ้นได้เช่นกัน
โดยนักวิทยาศาสตร์มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น อากาศร้อนและแห้งยิ่งขึ้นนั้น สร้างบริบทแวดล้อมที่เอื้อให้โอกาสที่จะเกิดไฟป่ามีสูงมากขึ้น
ด้าน โรเบิร์ต เชลล์เลอร์ ศาสตราจารย์ด้านวนศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาของสหรัฐฯ ชี้ว่า สัญญาณด้านสภาพอากาศมีความรุนแรงอย่างมาก เรากำลังเห็นพื้นที่ขนาดใหญ่ถูกเผาไหม้มากยิ่งขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น
โดยฤดูใบไม้ผลิในแคนาดาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่สภาพอากาศมีความอบอุ่นและแห้งมากกว่าปกติ ยิ่งเอื้อให้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่เหล่านี้ขึ้น ขณะที่หลายพื้นที่ของแคนาดาเองก็ตรวจวัดอุณหภูมิเฉลี่ยได้สูงกว่าปกติ อาทิ เมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย ที่ตรวจวัดอุณหภูมิได้สูงถึง 33 องศาเซลเซียสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปของปีก่อนๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ถึง 10 องศาเซลเซียส
นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ความแห้งแล้งในซีกโลกเหนือมีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจเอื้อให้เกิดปัญหาไฟป่าตามมาได้ โดยไฟป่าเองก็ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยเช่นเดียวกัน และจะยิ่งทำให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกรุนแรงยิ่งขึ้นราวกับเป็นห่วงโซ่
รายงานด้านสภาพอากาศโดย Copernicus Atmosphere Monitoring Service ระบุว่า ไฟป่าในแคนาดาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 54.8 ล้านตัน ซึ่งมากกว่า 2 เท่าของสถิติเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านๆ มา นับตั้งแต่มีการเริ่มประเมินเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ครั้งแรกในปี 2003
ทางการแคนาดาคาดสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งนี้จะคงอยู่ไปตลอดฤดูร้อนปีนี้ (ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม หรือช่วงต้นเดือนกันยายน)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ปัญหาไฟป่าเลวร้ายลงเรื่อยๆ ทุกปีหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าปัญหาไฟป่าจะเกิดบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต เนื่องจากผลกระทบร่วมกันที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ กิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจต่างๆ ของมนุษย์ และผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
โดยศาสตราจารย์เชลล์เลอร์กล่าวว่า แนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไปอีกหลายทศวรรษ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นและสภาพอากาศร้อนและแห้ง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟป่าตามมาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่รายงานของหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติแคนาดาคาดการณ์ว่า ภายในช่วงก่อนสิ้นสุดศตวรรษที่ 21 นี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกอาจทำให้พื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาทำลายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในแต่ละปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความปลอดภัยของมนุษย์และระบบนิเวศ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศ
แฟ้มภาพ: Dino Adventure / Shutterstock
อ้างอิง: