ช่วงเช้าวันนี้ (8 มิถุนายน) สำนักข่าว Reuters รายงานว่า อีซูซุมอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น มีแผนจะย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย โดยอาจจะเริ่มต้นการผลิตได้ตั้งแต่ต้นปี 2024
โดยข่าวดังกล่าวระบุว่า อากุส กูมิวัง การ์ตาซัสมิตา รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของอินโดนีเซีย ได้พบกับผู้บริหารของอีซูซุที่กรุงโตเกียว ก่อนจะออกแถลงการณ์ว่า “เรารู้สึกซาบซึ้งต่อการตัดสินใจของอีซูซุ เราจะให้การช่วยเหลือและสนับสนุนกระบวนการในการย้ายฐานการผลิตครั้งนี้”
กระแสข่าวที่เกิดขึ้นทำให้หุ้นหลักในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยทั้ง บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY), บมจ.อาปิโก ไฮเทค (AH) และ บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) ปรับตัวลดลง 10-30% ในวันนี้
โดย AH ปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 29.3% แตะระดับต่ำสุดที่ 27.75 บาท ส่วน STANLY และ SAT ลดลงไปต่ำสุดประมาณ 10% ก่อนที่ราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เหลือติดลบไม่ถึง 10%
ล่าสุด อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) ชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ใช่การประกาศอย่างเป็นทางการจากบริษัทอีซูซุมอเตอร์แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าประเทศอินโดนีเซียจะเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของอีซูซุก็ตาม เราไม่มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สำหรับ AH ที่ปรับตัวลดลงแรงที่สุด มีสัดส่วนรายได้จากอีซูซุราว 25% ขณะที่ SAT มีสัดส่วนราว 7%
อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยังอีซูซุเกี่ยวกับการตั้งโรงงานในอินโดนีเซียจะเป็นการผลิตรถในโมเดลที่ต่างกัน ขณะเดียวกันผู้บริหารของ AH ก็ได้ออกมาให้ความเห็นว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เปิดเผยว่า อีซูซุไม่ได้มีแผนจะย้ายฐานการผลิตจากไทย
“ส่วนตัวมองว่าแรงขายที่เกิดขึ้นกับหุ้นกลุ่มยานยนต์เป็นเพียง Panic Sell และเป็นโอกาสในการซื้อ หากการย้ายฐานของอีซูซุไม่เป็นความจริงจะทำให้ราคาพื้นฐานของหุ้นอย่าง AH ยังคงอยู่ที่ 54.10 บาทในปีนี้ ซึ่งยังมีอัปไซด์อีกค่อนข้างมากจากราคาปัจจุบัน”
สำหรับ AH ที่ บล.หยวนต้า วิเคราะห์อยู่ด้วยนั้น คาดว่ากำไรทั้งปีนี้จะเติบโตได้ราว 7% หากพิจารณาจากราคาหุ้นที่ราว 35 บาท จะคิดเป็น P/E ประมาณ 6.5 เท่า ส่วนราคาเป้าหมายที่ 54.10 บาท อิงจาก P/E 10.2 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง
อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้อีซูซุจะมีการชี้แจงรายละเอียดเป็นแถลงการณ์อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุถึงแนวโน้มผลประกอบการของ AH ว่า ในระยะสั้นมองกำไรไตรมาส 2 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน จากออร์เดอร์ OEM ใหม่ และดีลเลอร์ใหม่ แต่อาจจะลงจากไตรมาสแรก เพราะปัจจัยฤดูกาล
สำหรับภาพระยะกลาง เห็นแนวโน้มคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายใหญ่อย่าง VinFast ที่ประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในปี 2023 และ Axle ที่เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน อีกทั้ง AH มีโรงงานที่จีน ก็จะได้รับผลประโยชน์ของเทรนด์ EV ที่เติบโตดี หนุนธุรกิจ EV ในปี 2023 ให้เติบโตไม่ต่ำกว่าเท่าตัว นอกจากนี้ยังรับรายได้จากโชว์รูมเปิดใหม่เต็มปี
ส่วนภาพระยะยาว ปัจจัยหนุนจะมาจากการผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานยักษ์ใหญ่ EV อย่าง BYD และ NETA ที่เปิดตัวในเมืองไทย โดย AH ก็มีการเจรจากับ BYD และหากปิดดีลได้จะเริ่มเห็นคำสั่งซื้อตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป