ดูเหมือนว่าแนวคิดที่มองว่าปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ เหนือช่องแคบไต้หวันจะลุกลามบานปลายไปสู่จุดที่จีนตัดสินใจใช้กำลังทางทหารรุกรานไต้หวันจะเริ่มมีความเป็นไปได้สูงขึ้น เมื่อดูจากทีท่าของ 3 มหาเศรษฐีชื่อดังของโลกอย่าง อีลอน มัสก์, วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ เรย์ ดาลิโอ
“การรวมประเทศกับไต้หวันเป็นหนึ่งในนโยบายและวาระอย่างเป็นทางการของจีน (ภายใต้การนำของสีจิ้นผิง) มันชัดเจนแบบที่ไม่ต้องตีความ ทำให้ในท้ายที่สุดสถานการณ์ดังกล่าว (จีนใช้กำลังบุกไต้หวัน) อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” มัสก์ ให้สัมภาษณ์กับ CNBC
มัสก์ระบุว่า หากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงมันจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับภาคธุรกิจทั่วโลก เพราะไต้หวันคือผู้นำอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของโลก ขณะที่จีนก็เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงของโลกเช่นกัน โดยในเดือนที่ผ่านมา Tesla บริษัทยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของมัสก์เพิ่งจะประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รุ่น Megapack ในเซี่ยงไฮ้
ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีข่าวรายงานว่า Berkshire Hathaway บริษัทด้านการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เทขายหุ้นที่ถืออยู่ใน Taiwan Semiconductor Manufacturing Co หรือ TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกในไต้หวันออกไปจนเกลี้ยงพอร์ต
โดยหากย้อนกลับไปในอดีต มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Berkshire Hathaway เคยถือหุ้น TSMC คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 4 พันล้านดอลลาร์
บัฟเฟตต์ยอมรับว่า ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์เหนือช่องแคบไต้หวันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เขาตัดสินใจดังกล่าว โดยระบุว่า แม้ TSMC ในภาพรวมยังเป็นบริษัทที่ ‘ยอดเยี่ยม’ แต่เขาต้องทบทวนแผนการลงทุน ‘โดยคำนึงถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้น’
“ผมรู้สึกดีกับเม็ดเงินที่เราลงทุนไปในญี่ปุ่นมากกว่าที่ไต้หวัน” บัฟเฟตต์ วัย 92 ปี กล่าว
ย้อนกลับไปในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เรย์ ดาลิโอ ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทบริหารการลงทุนขนาดใหญ่ของโลก ได้โพสต์ข้อความใน LinkedIn เตือนว่าสหรัฐฯ และจีนมีความเสี่ยงที่จะทำสงครามกัน แต่ขยายความว่าสงครามดังกล่าวจะเป็นสงครามการค้ามากกว่าการใช้กำลังทหาร
Dewardric McNeal นักวิเคราะห์เชิงนโยบายของ Longview Global มองว่า การออกมาแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันของบุคคลร่ำรวยระดับโลกทั้ง 3 ราย มีความสอดคล้องกับฉากทัศน์ที่หลายฝ่ายได้ประเมินเอาไว้มาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม เขายังบอกว่าการใช้กำลังทางทหารจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
“ภาคธุรกิจควรใช้เวลาในช่วงนี้เตรียมแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ธุรกิจหลายแห่งยังคาดหวังว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามไปถึงจุดดังกล่าว แต่ต้องไม่ลืมว่าความคาดหวังไม่ใช่กลยุทธ์ที่จะใช้กับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น” McNeal กล่าว
อ้างอิง: