ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งพิเศษให้คณะบริหารพิจารณามาตรการจัดเก็บภาษีเพิ่ม 25% กับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อลงโทษกรณีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอันนำไปสู่การค้าที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่จีนออกมาตอบโต้โดยประกาศจะใช้มาตรการกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 3 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางกระแสวิตกไปทั่วโลกว่า ความขัดแย้งระลอกใหม่ระหว่าง 2 ยักษ์เศรษฐกิจอาจนำไปสู่สงครามการค้า
เมื่อวานนี้ (22 มีนาคม) ทรัมป์ได้สั่งการให้ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ เตรียมตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น หลังผลการตรวจสอบสถานะของคู่ค้าต่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ ตามกฎหมายการค้ามาตรา 301 บ่งชี้ว่า จีนยังคงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
โดยนอกจากมาตรการภาษีแล้ว ทรัมป์ยังมีแผนจำกัดการลงทุนจากจีน รวมถึงใช้มาตรการกดดันจีนบนเวทีองค์การการค้าโลก (WTO) เช่นเดียวกับกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ที่เตรียมจะออกมาตรการลงโทษจีนเพิ่มเติมเช่นกัน
ทรัมป์กล่าวว่า “เรามีปัญหาการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาอย่างใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งเราจะแก้ไขโดยทำให้ประเทศเราเข้มแข็งขึ้น และรวยขึ้น”
สำหรับสินค้านำเข้าที่อยู่ในข่ายถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจะอยู่ในหมวดเทคโนโลยีเป็นหลัก ครอบคลุมหุ่นยนต์ไปจนถึงรถไฟความเร็วสูง
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศในวันนี้ว่าจะใช้มาตรการทางการค้ากับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ ตั้งแต่เนื้อหมูไปจนถึงท่อเหล็ก เพื่อตอบโต้กำแพงภาษีของสหรัฐฯ
ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า การตรวจสอบสถานะตามมาตรา 301 และประกาศใช้มาตรการภาษีกับจีนถือเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล อีกทั้งเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ร่วมกันบนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และละเลยต่อความเห็นพ้องระหว่างสองประเทศที่จะใช้ช่องทางการเจรจาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ
“มันเป็นมาตรการกีดกันการค้าเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจีนผิดหวังอย่างมากและขอคัดค้านมาตรการเช่นว่านี้” สถานทูตจีนในสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ “ที่ผ่านมาจีนพยายามแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มาตลอด และไม่ต้องการทำสงครามการค้ากับใคร แต่จีนไม่เกรงกลัวและจะไม่ถอยหนีจากสงครามการค้า จีนมีความมั่นใจและมีศักยภาพในการเผชิญหน้ากับทุกความท้าทาย หากเกิดสงครามการค้าขึ้นโดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้ก่อ จีนจะต่อสู้ไปจนถึงที่สุดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางกฎหมายด้วยมาตรการที่จำเป็นทั้งหมด”
“มาตรการของสหรัฐฯ จะทำให้สหรัฐฯ แพ้ภัยตัวเอง พวกเขาจะทำลายผลประโยชน์ของผู้บริโภค บริษัท และตลาดเงินของสหรัฐฯ พวกเขายังบ่อนทำลายกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศและเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกด้วย” แถลงการณ์ระบุ
อ้างอิง: