เมื่อช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. ของวันนี้ (17 พฤษภาคม) ตามเวลาประเทศไทย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ Quest Means Business ของสำนักข่าว CNN เป็นภาษาอังกฤษ ยาว 8.39 นาที เกี่ยวกับความท้าทายของพรรคในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้อนาคตยังคงคลุมเครือ เนื่องจากพรรคก้าวไกลยังไม่สามารถรวมเสียง ส.ส. ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 376 เสียง เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ในการร่วมโหวตนายกฯ ได้
ในช่วงแรกนั้นพิธากล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง เห็นได้จากมติมหาชนผ่านผลคะแนนการเลือกตั้งในครั้งนี้
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อว่า แม้ผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้นพรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคที่กวาดคะแนนเสียงและเก้าอี้ ส.ส. ในสภาไปได้มากที่สุด แต่การจัดตั้งรัฐบาลและการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการอีกมาก
สำหรับคำถามนี้พิธากล่าวว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกลกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยก้าวไกลมีทีมงานเจรจารวมถึงทีมงานอื่นๆ ที่จะดำเนินการให้การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่น
โดยกระบวนการหลังจากนี้จะมี 3 ขั้นตอนด้วยกัน ขั้นแรกคือ กกต. ต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ต่อมาจึงจะมีการประชุมรัฐสภาและเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา หรือไม่น้อยกว่า 376 เสียง
สิ่งที่ประชาชนจับตาคือ การลงคะแนนเสียงของ ส.ว. ทั้ง 250 เสียง ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดย คสช. หรือแต่งตั้งโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในประเด็นนี้พิธากล่าวว่า ตัวเขามีการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่หลายสถานการณ์ด้วยกัน และทางพรรคก็ได้เตรียมพร้อมกำหนดแนวทางการตอบโต้ในเชิงกลยุทธ์ไว้เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาผู้สื่อข่าวของ CNN ได้ตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า พรรคก้าวไกลจะมีแนวทางในการฝ่าด่านอรหันต์ของ ส.ว. 250 เสียงไปได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมา ส.ว. มีท่าทีที่แสดงออกชัดเจนว่าพวกเขาชื่นชอบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารมากกว่า
ในกรณีนี้พิธามองว่า ความเป็นเอกภาพของเสียง ส.ว. ในปีนี้อาจแตกต่างจากเมื่อ 4 ปีก่อน เพราะปัจจุบันความคิดเห็นส่วนใหญ่ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และมติมหาชนก็แสดงให้เห็นแล้วผ่านผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ฉะนั้นถึงแม้ ส.ว. จะถูกแต่งตั้งโดยทหาร ผลการโหวตก็อาจไม่เป็นไปตามอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตเสมอไป
“ผมคิดว่าหากเราเดินหน้าสื่อสารและอธิบายอย่างต่อเนื่องว่าเรากำลังพยายามทำอะไรเพื่อประเทศนี้ เราตั้งใจทำให้ประเทศนี้ดีขึ้นอย่างไร ผมคิดว่า (ส.ว.) ก็อาจไม่ปิดประตูเลยเสียทีเดียว
“นอกจากนี้ราคาที่ต้องจ่ายหากพวกเขาคัดค้านเสียงของประชาชนคนไทย 25 ล้านเสียงแล้วนั้นสูงมากทีเดียว”
หนึ่งในคำถามที่เผ็ดร้อนในการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือ นักข่าวของ CNN ถามพิธาว่า ผู้นำพรรคก้าวไกลคิดเห็นอย่างไรหากหนึ่งในสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นคือ ทหารตัดสินใจล้มล้างผลการเลือกตั้งครั้งนี้
พิธาตอบว่า พรรคก้าวไกลจำเป็นที่จะต้องลดความเสี่ยงเหล่านั้นให้เหลือน้อยที่สุด เพราะอย่างที่ผู้สื่อข่าวพูดคือ การชนะเลือกตั้งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หนทางในการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นแม้การเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ผลลัพธ์ทางการเมืองกำลังเริ่มก่อร่างสร้างตัว โดยพรรคก้าวไกลมีทีมงานที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างหลักประกันว่าทางพรรคได้ลดความเสี่ยงของการล้มล้างผลการเลือกตั้งครั้งนี้ และหวังว่าเราจะสามารถสื่อสารกับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พาย้อนกลับไปถึงกรณีที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2562 ซึ่งในเวลานั้น ‘พรรคอนาคตใหม่’ คว้าคะแนนเสียงเลือกตั้งมากเป็นอันดับ 3 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกยุบพรรค ส่วน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคในขณะนั้น ก็ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี สถานการณ์แบบนี้ได้สร้างความกังวลให้กับพิธามากน้อยเพียงใด
พิธาตอบว่า เขาไม่กังวล แต่ก็ไม่ประมาทด้วยเช่นกัน เขาอยู่ในแวดวงการเมืองไทยมา 20 ปีตั้งแต่ตำแหน่งที่ไม่สูงมาก เลยได้มีโอกาสเห็นความโหดเหี้ยมของการเมืองทั่วโลก ไม่เฉพาะแค่ในประเทศไทยเท่านั้น สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือ ก้าวไกลจะไม่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้มากจนเกินไป แต่จะเรียนรู้จากอดีตและป้องกันไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
“พรรคก้าวไกลมีทีมกฎหมายที่แข็งแกร่ง มีแนวปฏิบัติที่รัดกุม เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ตกเป็นเป้าที่จะถูกยุบพรรคได้ง่ายๆ อีกครั้ง หรือแม้สำหรับตัวผมเองที่จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองโดยไม่มีเหตุผลอันควร”
สำหรับประเด็นสุดท้าย ผู้สื่อข่าวของ CNN กล่าวว่า สิ่งที่น่าสังเกตในครั้งนี้คือ พลังของคนหนุ่มสาวที่ออกมาเลือกตั้ง เพื่อแสดงการต่อต้านการปกครองของพรรคที่มาจากทหาร ฉะนั้นแล้วพรรคก้าวไกลมีลำดับนโยบายสำคัญอย่างไรบ้างสำหรับประเทศไทยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า
พิธากล่าวว่า ปีนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาเยอะมาก โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกประมาณ 5 ล้านคนด้วยกัน แต่ถึงเช่นนั้นหากดูในภาพรวมแล้ว ประชาชนทุกกลุ่มวัยได้ออกมาใช้สิทธิกันมากเป็นประวัติการณ์ถึงเกือบ 76% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าตื่นเต้นเลยทีเดียว
ส่วนลำดับความสำคัญของนโยบายพรรคก้าวไกลที่จะเดินหน้าต่อจากนี้คือ ‘3D’ ประการแรกคือ Demilitarize หรือเอาทหารออกจากการเมือง ต่อมาคือ Demonopolize ทลายทุนผูกขาด และท้ายสุดคือ Decentralize กระจายอำนาจอย่างทั่วถึง
พิธาคิดว่า 3 แนวทางนี้เป็นหนทางเดียวที่จะสร้างประชาธิปไตยเต็มใบให้กับไทย ทำให้ไทยสามารถเดินหน้าไปได้อีกครั้งและขึ้นมาผงาดอยู่บนเวทีโลก ผ่านการมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์
ภาพ: CNN
อ้างอิง: