ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศให้พื้นที่ในหลายจังหวัดของไทยเป็นเขตโรคพิษสุนัขบ้าระบาดชั่วคราว โดยล่าสุดพบผู้เสียชีวิตจากสาเหตุนี้แล้วถึง 6 คนในปีนี้ การเฝ้าระวังดังกล่าว มาพร้อมกับมาตรการควบคุมโรคต่างๆ มากมาย และ ‘การจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยง’ ก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างอยู่ในขณะนี้
หลังจากที่ นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับมาตรฐานของวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบัน นพ.เจษฎา ได้กล่าวถึงการเซ็ตซีโร่ปัญหาสุนัขและแมวจรจัดในไทย รวมถึงหยิบยกตัวอย่างการจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยงในบางประเทศ ล่าสุด น.สพ.อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ แสดงท่าทีขานรับ เตรียมประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้
ภาษีสัตว์เลี้ยงไม่ใช่สิ่งใหม่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป
เยอรมนี เป็นหนึ่งในประเทศแถบยุโรปเพียงไม่กี่ประเทศที่ยังคงมีการจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยงจากสุนัข ซึ่งกฎหมายการจัดเก็บภาษีนี้เริ่มประกาศใช้ในหลายแคว้นที่พูดภาษาเยอรมัน ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยมีจุดประสงค์หลักในการลดการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในขณะนั้น รวมถึงหาเงินทุนเพื่อใช้จ่ายในการทหาร รวมถึงการจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม
ในอดีตการจัดเก็บภาษีสุนัข ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหาเงินสนับสนุนให้กับรัฐบาลหลายประเทศในยุโรป ก่อนที่ในทศวรรษ 1970 ประเทศเหล่านั้นจะค่อยๆ ทยอยยกเลิกการจัดเก็บภาษีสุนัข หนึ่งในนั้นคือ อังกฤษ ที่ประกาศยกเลิกไปราวปี 1987
อัตราการเสียภาษีสุนัขในแต่ละเขตพื้นที่ของเยอรมนีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบข้อบังคับในแต่ละพื้นที่ โดยผลสำรวจของ Stiftung Warentest เมื่อปี 2015 พบว่า ชาวเยอรมันเสียภาษีสุนัขเฉลี่ยสูงสุดปีละ 186 ยูโร (ราว 7,200 บาท) และในปี 2016 เฉพาะในกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีสามารถจัดเก็บภาษีนี้ได้เป็นเงินมากกว่า 11 ล้านยูโร (ราว 423.3 ล้านบาท) เลยทีเดียว
ชลธิชา นิรัตติศัยกุล หนึ่งในคนไทยที่แต่งงานและใช้ชีวิตในเยอรมนี เจ้าของซิโอและลูน่า สุนัขสายพันธ์ุพิตบูลและมาลินอยส์ เล่าถึงประสบการณ์ในการเสียภาษีสุนัขให้ THE STANDARD ฟังว่า “อัตราภาษีสุนัขในแต่ละเขตพื้นที่ของเยอรมนีไม่เท่ากัน โดยสุนัขที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง จะต้องเสียภาษีประมาณ 140-160 ยูโรต่อปี (ราว 5,400-6,200 บาท) ในขณะที่สุนัขในเขตชนบท จะต้องเสียภาษีประมาณ 40-60 ยูโรต่อปี (ราว 1,500-2,300 บาท) ยิ่งถ้าสุนัขเป็นสายพันธ์ุต่อสู้ที่ทางการไม่อนุญาตให้เลี้ยง เช่น พันธุ์พิตบูล ร็อตไวเลอร์ มาลินอยส์ ฯลฯ จะต้องเสียภาษีสุนัขขั้นต่ำ 450 ยูโรขึ้นไป (ราว 17,300 บาท) และจะต้องทำการทดสอบความสามารถทุกๆ 2 ปี”
ปัจจุบัน มีเจ้าตูบที่รอการรับไปอุปการะกว่า 3 แสนตัวต่อปี ถ้าหากคนรักสุนัขรับสุนัขกลุ่มนี้ไปเลี้ยงจะได้รับการยกเว้นการเสียภาษีสุนัขในปีแรก ในขณะที่สุนัขนำทางของผู้พิการทางสายตาและการได้ยิน รวมถึงสุนัขที่ได้รับเหรียญกล้าหาญต่างๆ และสัตว์เลี้ยงจำพวกน้องแมว ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสัตว์เลี้ยง
สวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศแถบยุโรปที่ในบางพื้นที่ยังคงมีการจัดเก็บภาษีสุนัข หนึ่งในนั้นคือเมืองเล็กๆ อย่าง Reconvilier ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ระบุให้เจ้าของเจ้าตูบต้องเสียภาษี 48.50 เหรียญสหรัฐต่อตัวต่อปี (ราว 1,500 บาท) โดย theweek.com ได้รายงานว่า เมือง Reconvilier ยังได้กำหนดบทลงโทษในกรณีที่เจ้าของไม่ยอมเสียภาษีสัตว์เลี้ยงให้แก่หน่วยงานท้องถิ่น หน่วยงานดังกล่าว อาจดำเนินมาตรการรุนแรงต่อสุนัขตัวนั้น (การสังหาร จะเป็นวิธีการสุดท้ายที่จะถูกนำมาปฏิบัติ) ซึ่งได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความยากจน ผู้นำท้องถิ่นต้องการเงินทุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในพื้นที่
พรพีพล จงเกรียงไกรธร อดีตนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มีโฮสต์อยู่สวิตเซอร์แลนด์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า “ในสวิตเซอร์แลนด์เก็บภาษีสุนัขมานานแล้ว แต่แมวไม่ต้อง ในปัจจุบันที่นี่มีแต่แนวโน้มที่จะเก็บภาษีนี้เพิ่มมากขึ้น และอาจจะรวมถึงการเก็บภาษีม้าในอนาคต ถ้าไม่จ่ายภาษี เจ้าของก็เลี้ยงไม่ได้และอาจจะถูกตามมาทวงเก็บเงิน แย่ไปกว่านั้นสุนัขของเราอาจจะถูกกักให้อยู่ในพื้นที่ของสัตว์จรจัดจนกว่าจะจ่ายภาษี ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าจะเลี้ยงสุนัข ชาวสวิสก็จะจ่ายภาษีแทบทุกคน เงินภาษีที่ได้ก็จะกลายเป็นเงินสนับสนุนสวัสดิการในด้านการจัดซื้อถุงเก็บอุจจาระที่ประชาชนสามารถหยิบไปใช้ได้ฟรี รวมถึงค่าจัดการของเสียและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ในท้องถิ่น”
ในกรณีที่คุณเป็นชาวต่างชาติและต้องการจะนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากที่จะต้องทำการขึ้นทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในละแวกที่คุณไปพักอาศัยแล้ว คุณยังจะต้องเสียภาษีสุนัขแต่ละตัว โดยคำนวณภาษีจากน้ำหนักและขนาดของสุนัข และอาจถูกกักกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนเข้าประเทศ เว้นแต่จะมีใบรับรองยืนยันว่า สุนัขดังกล่าวได้รับการฝังไมโครชิป พร้อมตรวจเช็กสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้วอย่างน้อย 30 วัน แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี โดยสุนัขที่ถูกตัดแต่งใบหูหรือหางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ โดยสามารถตรวจสอบอัตราภาษีสุนัขในแต่ละพื้นที่เพิ่มเติมได้ที่ www.ch.ch/en/dog-tax/
เนเธอร์แลนด์ ประเทศสายอีโค่ที่พลเมืองส่วนใหญ่ปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยง โดยแต่ละเมืองจะระบุอัตราภาษีไม่เท่ากัน และสามารถปรับเปลี่ยนได้ในแต่ละปี ที่สำคัญยิ่งมีจำนวนสุนัขมากเท่าไร อัตราภาษีจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เช่น ในปี 2017 ที่ผ่านมา กรุงเฮก เมืองหลวงของจังหวัดเซาท์ฮอลแลนด์ 1 ใน 12 จังหวัดของประเทศ กำหนดให้เจ้าของสุนัข 1 ตัว ต้องเสียภาษี 111.96 ยูโร (ราว 4,300 บาท) ในขณะที่ถ้าเป็นเจ้าของ 2 ตัว ต้องเสียภาษี 287.40 ยูโร (ราว 11,100 บาท)
เมืองต่างๆ จำนวนมากต่างเริ่มทยอยมีมติยกเลิกการจัดเก็บภาษีสุนัข โดยในปี 2017 ที่ผ่านมา มีถึง 11 เมืองที่จะยกเลิกการจัดเก็บภาษีดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ เมืองรอตเทอร์ดัม (Rotterdam) เมืองที่เคยจัดเก็บภาษีสุนัขสูงที่สุดในประเทศเมื่อปี 2015 ที่อัตราภาษีอยู่ที่ 128 ยูโรต่อหนึ่งตัว และ 300 ยูโรต่อสองตัว จะยกเลิกการเก็บภาษีสุนัขภายในปีนี้ ซึ่งเหตุผลในการยกเลิกไม่ระบุแน่ชัด
นอกจากอัตราภาษีที่ต้องคำนึงแล้ว เจ้าของยังจะต้องศึกษากฎระเบียบในแต่ละเขตพื้นที่ด้วยว่า พื้นที่ดังกล่าวสามารถปลดสายจูงได้หรือไม่ รวมถึงมีวิธีการจัดการกับปัสสาวะและอุจจาระของเจ้าตูบอย่างไร ถ้าหากทำผิดกฎอาจจะต้องเสียค่าปรับในอัตราที่สูง ในกรณีที่เป็นสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น อาทิ แมว ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
กระโดดข้ามทวีปมาที่ สหรัฐอเมริกา ในบางรัฐก็มีการจัดเก็บภาษีจากสัตว์เลี้ยงเช่นเดียวกัน โดย cbsnews.com เคยรายงานว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ในเมืองเดอร์แรม (Durham) รัฐนอร์ทแคโรไลนา จะต้องเสียภาษีสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมว ที่มีอายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเสียภาษีคือ การทำหมัน ซึ่งหากทำหมันแล้ว จะเสียภาษีประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ (ราว 310 บาท) แต่ถ้าหากยังไม่ทำหมัน จะต้องเสียภาษีสัตว์เลี้ยงประมาณ 75 เหรียญสหรัฐ (ราว 2,340 บาท)
กฎหมายของรัฐอินเดียน่ากำหนดให้สุนัขที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป จะต้องเสียภาษีสูงสุดไม่เกินตัวละ 5 เหรียญสหรัฐต่อปี (ราว 160 บาท) ในกรณีที่เลี้ยงสุนัขเพื่อเพาะพันธ์ุ เพื่อฝึกฝนและจำหน่าย ถ้าหากมีสุนัขที่อายุถึงเกณฑ์เสียภาษีไม่เกิน 6 ตัว จะต้องได้รับใบอนุญาตและเสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 30 เหรียญสหรัฐ (ราว 930 บาท) ถ้ามากกว่า 6 ตัว จะต้องเสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 50 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,560 บาท) โดยเงินภาษีที่จัดเก็บได้ 20% จะจัดสรรเป็นเงินสนับสนุนการศึกษาและงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ ขณะที่อีก 80% รัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เป็นเงินสนับสนุนในด้านการดูแลสัตว์ การควบคุมโรคระบาดในสัตว์ รวมถึงการกำจัดซากสัตว์ที่ตายลง และเป็นเงินชดเชยให้แก่พี่น้องเกษตรกรที่ปศุสัตว์ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดและส่งผลเสียต่อรายได้
ประเทศส่วนใหญ่ที่จัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะภาษีสุนัข มักเป็นประเทศในแถบตะวันตก ในทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะทวีปเอเชียแทบไม่มีประวัติหรือข้อมูลการจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้ แต่อย่างไรก็ตามประเทศที่ไม่ได้มีการจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยงโดยตรง ก็อาจจะมีกฎระเบียบและกระบวนการที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง และขอรับใบอนุญาตจากทางการท้องถิ่น การตรวจเช็กสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้แก่สัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายตามมา
ส่วนประเด็นการจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในปัจจุบัน ฝ่ายที่สนับสนุนระบุว่า การจัดเก็บภาษีชนิดนี้จะเป็นประโยชน์ในระยะยาว ทั้งเป็นแหล่งที่มาของเงินทุนในท้องถิ่น และการขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงที่ครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น อาจมีส่วนช่วยส่งเสริมแนวทางการต่อสู้และป้องกันโรคระบาดที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมาน้องแมวได้ในอนาคต ในขณะที่ฝ่ายเห็นต่างมองว่า การจัดเก็บภาษีอาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าของสัตว์ และทำให้ปัญหาสัตว์จรจัดรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
คุณเห็นด้วยหรือไม่ ที่ประเทศไทยจะจัดเก็บภาษีสัตว์เลี้ยงในอนาคต? การจัดเก็บภาษีชนิดนี้มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในสังคมไทย?
Photo: Shutterstock
อ้างอิง:
- www.thelocal.de/20171123/everything-you-need-to-know-about-having-a-pet-in-germany
- www.thelocal.de/20171102/why-did-berlin-dog-owners-pay-over-11-million-in-dog-tax-last-year
- theweek.com/articles/488123/swiss-dog-tax-pay-pet-dies
- www.dogster.com/the-scoop/swiss-dogs-to-die-if-owners-dont-pay-taxes
- www.ustaxpractice.com/dog-tax-in-switzerland/
- www.expatica.com/nl/family-essentials/Keeping-pets-in-the-Netherlands_104446.html
- www.cijfernieuws.nl/nieuws/waar-wordt-hondenbelasting-in-2018-afgeschaft-/
- www.cbsnews.com/media/the-strangest-us-state-taxes-and-deductions/17/
- www.in.gov/dlgf/files/Memo_CountyOptionDogTax.pdf
- teara.govt.nz/en/biographies/2t45/toia-hone-riiwi
- เดนมาร์ก เป็นประเทศในแถบยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องฟาร์มโคนม ที่นี่มีการจัดเก็บภาษีสุดแปลกในกรณีที่วัวท้องอืดและผายลมออกมา (Cow Flatulence Tax) เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า สาเหตุภาวะเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในยุโรปกว่า 18% เกิดจากก๊าซมีเทนที่บรรดาวัวต่างๆ ผายลมออกมา ซึ่งอาจจะทำให้เจ้าของวัวเหล่านี้ต้องเสียภาษีแบบจุกๆ สูงสุดถึง 110 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 3,400 บาท) ต่อตัวต่อปีเลยทีเดียว
- ในอดีตเคยเกิด ‘สงครามภาษีสุนัข (Dog Tax War)’ ขึ้นมาแล้วในนิวซีแลนด์ เมื่อปี 1898 เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง Hone Riiwi Toia ผู้นำระดับสูงของชนเผ่าชาวเมารีทางตอนเหนือและเจ้าชายอังกฤษ เจ้าอาณานิคมที่พยายามบังคับใช้กฎหมายการจัดเก็บภาษีสุนัขในพื้นที่ ความขัดแย้งดังกล่าวจบลงด้วยการประนีประนอม โดยปราศจากการนองเลือด