ถ้า 8 ปีกับลุงตู่ ชีวิตไม่ดีขึ้น ขอโอกาสให้ ตุ๊ดตู่-เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลือดใหม่เพื่อไทย
THE STANDARD คุยกับ ตุ๊ดตู่-เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ผู้สมัคร ส.ส. เพื่อไทย เขตยานนาวา-บางคอแหลม ที่ขอโอกาสรับใช้ประชาชนในฐานะผู้แทน แม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่มีประสบการณ์จากครอบครัวที่เคยเป็น ส.ส. มาก่อน
ใกล้ถึงเวลาหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ THE STANDARD ทยอยพูดคุยกับผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายราย หนึ่งในคนที่น่าสนใจคือ ตุ๊ดตู่-เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ในเขตยานนาวา-บางคอแหลม เพราะเพียงชื่อของเธอก็ต้องสะดุดกับ ‘ตู่’ ซึ่งพ้องเสียงและพ้องรูปกับ ‘ลุงตู่’ หรือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
“สวัสดีค่ะ ชื่อ เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ชื่อเล่นก็ชื่อตู่ เหมือนคุณนายกฯ แต่ว่าเรียกตุ๊ดตู่ดีกว่าค่ะ จะได้ดูเป็นกันเอง” เธอเริ่มแนะนำตัวกับผู้สัมภาษณ์อย่างเป็นกันเองเช่นกัน
วันนี้อายุของเธอย่างเข้าปีที่ 36 ก่อนเข้ามาสู่สนามการเมือง เธอบอกว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ประกอบการทั่วไป ทำธุรกิจหลายอย่าง แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ เธอไม่ลังเลที่ลงสนาม แม้เป็นครั้งแรก
ทำไมถึงสนใจการเมือง
“เราก็รู้สึกว่าผลกระทบของการเมืองถือว่าค่อนข้างเป็นเส้นเลือดใหญ่ เหมือนกับว่าเป็นกระดูกสันหลังของผู้ประกอบการไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะ SMEs นะคะ ดังนั้นดิฉันมองว่าถ้าการเมืองวันนี้เป็นการเมืองที่ดี เป็นการเมืองที่มีเสถียรภาพ คงจะทำให้ผู้ประกอบการและ SMEs รวมถึงผู้ประกอบการในประเทศก้าวกระโดดตาม”
เธอระบุต่อเนื่องเลยว่าถ้าการเมืองมันมีปัญหา นั่นก็หมายถึงว่าทุกอย่างก็ต้องรอการเมือง แล้วบางทีการเมืองก็กลายเป็นเรื่องที่ฉุดรั้งทุกๆ เรื่องตามไปด้วย
“ที่ตัดสินใจที่จะอยู่วันนี้ก็คือ หนึ่ง เราเคารพประชาธิปไตย สอง เราเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ สังคมจะดีได้ ก็ต้องมาจากการที่เรามีการเมืองที่ดี ฉะนั้นก็คิดว่าสองสิ่งประกอบกัน ทำให้เราเลือกที่จะยืนอยู่บนจุดจุดนี้”
ถ้าการเมืองมันมีปัญหา นั่นก็หมายถึงว่าทุกอย่างก็ต้องรอการเมือง แล้วบางทีการเมืองก็กลายเป็นเรื่องที่ฉุดรั้งทุกๆ เรื่องตามไปด้วย
หน้าใหม่ มีประสบการณ์ สวมหมวกใบเดียวกับที่พ่อเคยใส่
“ต้องบอกว่าจริงๆ แล้ว ถึงดิฉันจะเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง แต่จริงๆ ประสบการณ์ก็ไม่ใหม่”
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะคุณพ่อของเธอเป็นอดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) มาก่อน แล้วก็ยังเป็นอดีต ส.ส. ในพื้นที่เขตเดียวกัน
“เลยทำให้ความใหม่ทางการเมืองอาจจะเป็นแค่หน้าเฉยๆ แต่สิ่งที่เราทำทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน หรือว่าทัศนคติต่อระบบประชาธิปไตย ไม่ได้แตกต่างกันที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราใหม่บนเวทีนี้ เรารู้สึกว่าเราพร้อมมากๆ สำหรับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น
“ครอบครัวเราเป็นครอบครัวทางการเมืองมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เราอยู่กับคุณพ่อตั้งแต่เด็กๆ สมัยคุณพ่อเป็นนักการเมือง ตอนนั้นเราเองยังใส่ชุดนักเรียนมัธยม ดิฉันไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไรมากนะคะ แค่วันนี้เรามีความรู้สึกว่าหมวกใบนั้นที่คุณพ่อเคยใส่ เปลี่ยนมาเป็นหมวกที่เราใส่”
ดิฉันไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไรมากนะคะ แค่วันนี้เรามีความรู้สึกว่าหมวกใบนั้นที่คุณพ่อเคยใส่ เปลี่ยนมาเป็นหมวกที่เราใส่
ทำไมเลือกสังกัดพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามคำถามนี้ เพ็ญพิสุทธิ์เลือกที่จะอธิบายถึงจุดกำเนิดของพรรคเพื่อไทย ไล่เรียงมาตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน พร้อมระบุด้วยว่าพรรคเพื่อไทยก็เป็นพรรคการเมืองที่อยู่กับประชาชนมาสักระยะหนึ่งแล้ว
“สิ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยแตกต่างจากพรรคอื่นมีหลายประการเลยนะคะ ประการแรกคือเรื่องของนโยบาย นโยบายของเราเป็นนโยบายที่ทำออกมาแล้วมั่นใจว่าทำให้ประชาชนได้ กว่าจะออกมาเป็นหนึ่งนโยบาย เราต้องมั่นใจว่านโยบายนั้นมันปฏิบัติได้จริง เราต้องไม่ผิดสัจจะกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน นั่นคือสิ่งสำคัญของนักการเมือง”
สิ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยแตกต่างจากพรรคอื่นมีหลายประการเลยนะคะ ประการแรกคือเรื่องของนโยบาย กว่าจะออกมาเป็นหนึ่งนโยบาย เราต้องมั่นใจว่านโยบายนั้นมันปฏิบัติได้จริง
อยากเห็นอะไรในการเมืองไทย
“เราก้าวออกมาจากที่บ้านแล้วบอกว่าวันนี้ฉันจะทำงานเพื่อประชาชน วันนั้นคือมายด์เซ็ตทุกอย่างว่าการเข้าสู่สนามการเมือง ดิฉันเตรียมพร้อมทั้งหัวใจและจิตใจก่อนที่จะมาลงสนามอยู่แล้ว ดังนั้นถามว่าหนักใจไหม ไม่หนักใจนะคะ แล้วก็วันนี้เรามีความประสงค์เดียวกัน ก็คือทำอย่างไรให้ประเทศไทยเราดีขึ้น”
เธอไล่เรียงต่อว่าเราได้ยินคำว่าประเทศกำลังพัฒนาตั้งแต่ตนเองยังใส่ชุดนักเรียน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังมองว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ คำนี้มันไม่ได้หายออกไปจากการเรียนการสอนของเด็กๆ เลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนานะ มันไม่ได้ถูกล้างออกไปเลย แสดงว่าหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน เราย่ำอยู่ที่เดิม
“ด้วยรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ก็เลยทำให้สิ่งต่างๆ ที่เราจะก้าวไปให้ทัดเทียมกับนานาชาติได้ มันเหมือนถูกดึงเป็นชักเย่อลงไปเรื่อยๆ แล้วดิฉันคิดว่านักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองคนรุ่นใหม่ เราอยากเห็นประเทศของเราดีขึ้น”
เพ็ญพิสุทธิ์ตอกย้ำทิ้งท้ายถึงกลยุทธ์แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยที่จำเป็นต้องชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย เพื่อเปลี่ยนโฉมหน้ารัฐบาล ก่อนที่จะเดินหน้าภารกิจเปลี่ยนประเทศ
ถ้า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนรู้สึกว่าโอกาสมันลดลง
ถ้า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนรู้สึกว่ารายได้มันลดลง
ถ้า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนรู้สึกว่าคอร์รัปชันมันมากเหลือเกิน
ถ้า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนรู้สึกว่ายาเสพติดมันเยอะมากๆ
ดิฉันว่าถึงเวลาแล้วที่จะเรียกคืน 8 ปีที่สูญหาย ภายใน 4 ปีที่กำลังจะถึง