การสู้รบในซูดานยังคงดุเดือดโดยเฉพาะในกรุงคาร์ทูมเมืองหลวงของประเทศซูดาน แม้ข้อตกลงหยุดยิงครั้งล่าสุดยังไม่สิ้นสุดลงก็ตาม โดยในวันนี้ (30 เมษายน) กองทัพซูดานเปิดเผยว่า ทหารฝ่ายตนได้เปิดฉากโจมตีทุกทิศทางทั้งทางอากาศและภาคพื้น เพื่อเอาชนะกองกำลังกึ่งทหาร Rapid Support Forces (RSF)
สำหรับการหยุดยิงระยะเวลา 72 ชั่วโมงที่ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงกันครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 เมษายน จะมีกำหนดสิ้นสุดลงในช่วงคืนวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ชาติต่างๆ ยังคงเดินหน้าเร่งอพยพพลเมืองของตนออกจากซูดานท่ามกลางสถานการณ์โกลาหล ส่วนประชาชนหลายล้านคนยังคงปักหลักอยู่ในกรุงคาร์ทูมที่มีสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือน้ำและอาหารในพื้นที่ดังกล่าวเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ
ส่วนสถานการณ์เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (29 เมษายน) การสู้รบในซูดานเป็นไปอย่างดุเดือด โดยกองทัพซูดานระบุว่า มีการโจมตีกองกำลัง RSF ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าให้สำนักข่าว Reuters ฟังว่า โดรนของกองทัพเข้าโจมตีกองกำลัง RSF ซึ่งประจำอยู่ใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ของประเทศ
พอล อดัมส์ ผู้สื่อข่าวทางการทูตของสำนักข่าว BBC เปิดเผยว่า กองทัพซูดานไม่สามารถขับไล่กองกำลัง RSF ออกจากกรุงคาร์ทูมได้โดยง่าย เพราะถึงแม้กองทัพจะมีอาวุธที่ทรงพลังกว่า แต่กองกำลัง RSF นั้นมีความคล่องตัวสูง และเชี่ยวชาญการสู้รบในเขตเมืองมากกว่า
ทั้งนี้ อับดัลลา ฮัมด็อก (Abdalla Hamdok) อดีตนายกรัฐมนตรีซูดาน ได้ออกมากล่าวเตือนว่า ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในซูดานอาจเลวร้ายยิ่งกว่าวิกฤตการณ์ในซีเรียและลิเบีย ซึ่งสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายแสนคน และบั่นทอนความมั่นคงในภูมิภาค
“ผมคิดว่าสงครามในซูดานจะกลายเป็นฝันร้ายของโลกใบนี้ นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างกองทัพกับกลุ่มกบฏเล็กๆ มันเป็นเหมือนกับการสู้รบกันระหว่างสองกองทัพ” ฮัมด็อกกล่าว
นับตั้งแต่ที่การสู้รบระหว่างสองกองกำลังทหารปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 15 เมษายน มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 500 คน ขณะที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าที่จะยอมเจรจากัน
ภาพ: Ahmed Satti / Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: