หนึ่งในกระแสที่มาแรงของแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยคือการที่ ‘ชาวจีน’ กำลังเข้าซื้อคอนโดมิเนียมและพูลวิลล่า ที่มีเป้าหมายทั้งลงทุนและเกษียณ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการทุ่มเงินซื้อ ‘สวนทุเรียน’ เพื่อทำการท่องเที่ยวแบบครบวงจร
ณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า กระแสการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตของชาวจีนครอบคลุมเกือบทุกประเภท ทั้งคอนโด วิลล่า ตึกแถว และล่าสุด ‘สวนทุเรียน’
“ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ชาวจีนจะเริ่มจากการมาเที่ยวก่อน จึงค่อยเริ่มมีนักลงทุนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยซื้อตึกแถวเพื่อทำธุรกิจค้าขายให้กับนักท่องเที่ยวจีน ซื้อคอนโดและวิลล่าเพื่อปล่อยเช่าให้นักท่องเที่ยวจีน ตอนนี้เริ่มมองหาสวนทุเรียน เพื่อพานักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวและจับจ่ายซื้อทุเรียนชิม”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ไทยมีหนาว! จีนเตรียมวางขาย ‘ทุเรียนจีน Made in China’ ที่ปลูกในเกาะไหหลำ พร้อมตั้งเป้าขาย 2.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2028
- ‘ชาวจีน’ เล็งเข้าซื้อ ‘บ้านและคอนโดในไทย’ เพื่อลงทุนและเกษียณ เหตุราคาถูกกว่าจีน พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ ทำเลฮิตแห่งใหม่
- กระแส ทุเรียน ฟีเวอร์ใน ‘แดนมังกร’ เป็นข่าวดีเกินไป หรือเป็นสัญญาณเตือนภัยของชาติอาเซียนกันแน่
เทรนด์เข้าซื้อสวนทุเรียนดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่เป็นมาก่อนโควิดแล้ว และกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังจากที่จีนเปิดประเทศให้ผู้คนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่า ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยจะอยู่ที่ราว 7-8 ล้านคน
ที่ผ่านมานักลงทุนชาวจีนมักจะซื้อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งการให้เช่ารถ เช่าเรือ ร้านอาหาร ส่วนสวนทุเรียนนั้นประเมินคร่าวๆ ว่าเข้าซื้อในราคา 3-5 ล้านบาทต่อไร่ โดยจะซื้อทำเลที่ไม่ห่างจากภูเก็ตมากนัก
“ราคาดังกล่าวถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับการปลูกที่ต้องใช้ระยะเวลา 4-5 ปี โดยนักลงทุนจีนจะซื้อสวนที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ไม่ลงทุนตั้งแต่เริ่มปลูก”
ตามข้อมูลจากหอการค้าจีน ทุเรียนเป็นผลไม้นำเข้าอันดับ 1 ของจีน โดยมีมูลค่าถึง 4.03 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว มีปริมาณนำเข้ารวม 8.25 แสนตัน ขณะที่ประเทศไทยคิดเป็น 96% ของมูลค่าการนำเข้าทุเรียนของจีน และคิดเป็น 95% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมดในปีที่ผ่านมา
สิ่งที่ต้องจับตาคือจีนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนในประเทศเป็นครั้งแรกในฤดูร้อนนี้ หลังจากเพาะปลูกมากว่า 4 ปี บนเกาะไหหลำ เขตร้อนทางตอนใต้ของจีน
แม้ช่วงแรกจะมีผลผลิตไม่มากนัก แต่คาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้าจะขยายพื้นที่ปลูก ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าผลผลิตได้ 5 พันล้านหยวน หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2028