ประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน ได้รับคำเชิญจากสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด แห่งซาอุดีอาระเบีย ให้เดินทางเยือนกรุงริยาดอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ทั้งสองชาติได้ประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ภายหลังเจรจากันประมาณ 4 วันในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
มูฮัมหมัด จัมชิดี (Mohammad Jamshidi) รองเสนาธิการฝ่ายการเมืองของอิหร่าน ได้ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ว่า “ในจดหมายที่ส่งถึงประธานาธิบดีไรซี กษัตริย์แห่งซาอุดีอาระเบียได้ขานรับข้อตกลงระหว่างสองชาติบ้านพี่เมืองน้อง และเชิญผู้นำอิหร่านให้มาเยือนกรุงริยาด” พร้อมเสริมว่าไรซีก็ได้ตอบรับคำเชิญดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่อิหร่านและซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นอดีตสองประเทศคู่อริได้ตัดสินใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีต่อกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกันมายาวนานกว่า 7 ปี จากปมความขัดแย้งเมื่อปี 2016 เมื่อผู้ประท้วงชาวอิหร่านบุกสถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน เพื่อตอบโต้ที่ทางการซาอุดีอาระเบียประหารชีวิตนักโทษ 47 คน ซึ่งรวมถึงผู้นำนิกายชีอะห์
ทั้งนี้คาดว่าทั้งสองประเทศจะกลับมาเปิดสถานทูตกันอีกครั้งภายในช่วง 2 เดือนข้างหน้า และจะเตรียมกลับมาดำเนินการตามข้อตกลงด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เคยลงนามร่วมกันเมื่อกว่า 20 ปีก่อน
ฮุสเซน อมีร์-อับดุลลอเฮียน (Hossein Amir-Abdollahian) รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ขณะนี้ทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะจัดการประชุมระหว่างนักการทูตระดับสูงของพวกเขา โดยขณะนี้ได้มีการเสนอสถานที่จัดประชุมแล้ว 3 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
อนึ่ง การที่คู่ขัดแย้งสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลางสามารถตกลงที่จะเปิดสถานทูตอีกครั้งหลังตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกันมายาวนาน อาจส่งผลให้อุณหภูมิความร้อนแรงในความขัดแย้งและการแข่งขันระหว่างกันลดน้อยลง ขณะเดียวกันจีนซึ่งเป็นประเทศที่ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการทูตครั้งนี้ ก็ทำให้บทบาทและอิทธิพลของตนเองขยายเข้าไปกว้างไกลในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลดั้งเดิมของสหรัฐอเมริกา
อ้างอิง: