กองบัญชาการยุโรปของสหรัฐฯ เผยแพร่คลิปวิดีโอการเผชิญหน้าระหว่างโดรนตรวจการณ์ MQ-9 Reaper ของสหรัฐฯ กับเครื่องบินขับไล่ Su-27 ของรัสเซียเมื่อวันอังคาร (14 มีนาคม) ที่ผ่านมา ขณะที่บินอยู่เหนือทะเลดำ ก่อนที่เครื่องบินขับไล่ของรัสเซียจะชนโดรนสหรัฐฯ จนตกลงในทะเลดำ
การเผชิญหน้ากันเกิดขึ้นประมาณ 30-40 นาที แต่ภาพที่เผยแพร่ออกมา มีเวลาไม่ถึง 1 นาที ซึ่งภาพจากกล้องที่ติดตั้งใต้ลำตัวทางด้านหลังของโดรน แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินขับไล่รัสเซียบินผ่านมาในระยะใกล้มาก และปล่อยสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเชื้อเพลิงออกมาขณะเข้าใกล้
ส่วนหนึ่งของคลิปวิดีโอเผยให้เห็นว่า เครื่องบินขับไล่รัสเซียบินผ่านโดรนสหรัฐฯ ในระยะใกล้ถึง 2 รอบ และในรอบที่ 2 ได้ปล่อยเชื้อเพลิงออกมา ก่อนที่ภาพจากคลิปวิดีโอจะหยุดชะงักไป เนื่องจากเครื่องบินขับไล่รัสเซียชนเข้ากับโดรน จนทำให้ใบพัดเสียหาย และเมื่อภาพกลับมาปรากฏว่าใบพัดด้านหลังของโดรนงอจนผิดรูป ส่งผลให้ผู้ควบคุมโดรนของสหรัฐฯ ต้องบังคับโดรนทิ้งในทะเลดำ บริเวณน่านน้ำสากล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแหลมไครเมีย
สำนักข่าว CNN รายงานข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมการลบซอฟต์แวร์ที่ละเอียดอ่อนของโดรนจากระยะไกลแล้ว ก่อนที่มันจะตกลงไปในทะเล ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่วัตถุลับของสหรัฐฯ จะตกไปอยู่ในมือของศัตรู
ทางด้านรัสเซียปฏิเสธว่า เครื่องบินขับไล่ของตนไม่ได้ชนโดรน ขณะที่ อนาโตลี แอนโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ ชี้ว่า โดรนของสหรัฐฯ ‘ละเมิดขอบเขตของน่านฟ้าชั่วคราว ที่กำหนดขึ้นสำหรับปฏิบัติการทางทหารพิเศษ’ ซึ่งที่ผ่านมารัสเซียได้กำหนดเขตห้ามบินฝ่ายเดียวเหนือภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรุกรานยูเครน
ด้าน ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อธิบายการกระทำของเครื่องบินรบรัสเซียว่า ‘อันตรายและบ้าบิ่น’ และมั่นใจในข้อเท็จจริงที่ได้มา
ขณะที่ จอห์น เคอร์บี โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ CBS ระบุว่า ‘ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการกระทำของรัสเซียนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือโดยบังเอิญ’ และมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เป็นการกระทำที่ ‘ไม่เหมาะสม ไม่ปลอดภัย และไม่เป็นมืออาชีพ’
อย่างไรก็ตาม เคอร์บียืนยันว่าโดรนตรวจการณ์จะยังคงดำเนินภารกิจต่อไปในทะเลดำ และไม่จำเป็นต้องมีกองทัพคุ้มกัน ซึ่งเขากล่าวว่าไม่จำเป็น และจะทำให้นักบินยิ่งตกอยู่ในความเสี่ยง
ภาพ: US Defense Department European Command via Getty Images
อ้างอิง: