ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเนียบขาวของ โจ ไบเดน ได้เผยรายละเอียดร่างงบประมาณที่พวกเขาพยายามผลักดันให้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในร่างงบประมาณฉบับนี้ไบเดนได้เสนอให้มีการเก็บภาษีเพิ่มเติมจากผู้มีรายได้สูง และเพิ่มอัตราภาษีธุรกิจเพื่อนำรายได้มาลดหนี้สาธารณะ จุนเจือโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้สูงอายุ หรือ Medicare ซึ่งถึงแม้ว่าร่างงบประมาณนี้แทบจะมีโอกาสเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ที่จะผ่านการพิจารณาในสภาล่างที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ แต่ก็นับว่าเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจนของไบเดนและพรรคเดโมแครตต่อกลยุทธ์ในการหาเสียงของพวกเขาในปี 2024
ขึ้นภาษีคนรวย
สิ่งที่ไบเดนเสนอคือการขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูงและบริษัทต่างๆ ด้วยการเก็บภาษีจากผู้มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจาก 37% เป็น 39.6% การจัดเก็บภาษีขั้นต่ำของมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ 25% ต่อปี ยกเลิกการลดหย่อนภาษีจากกำไรจากการขายหุ้นแก่ผู้ที่ทำรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจัดเก็บภาษีธุรกิจเพิ่มจาก 21% เป็น 28% โดยที่เขาคาดว่าการขึ้นภาษีในรอบนี้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงหนึ่งทศวรรษข้างหน้า
สิ่งที่ไบเดนเสนอนั้นเป็นแนวคิดแบบเสรีนิยมมากๆ ที่เชื่อว่าโลกของเรานั้นมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอยู่สูงมาก และทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาคือการจัดเก็บภาษีคนรวยให้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นแนวคิดที่ขัดกับความเชื่อหลักของพรรครีพับลิกันที่เชื่อในแนวคิดแบบตลาดเสรี ที่มองว่ารัฐไม่ควรไปมีบทบาทกับการ ‘กระจายความมั่งคั่ง’ และรีพับลิกันก็ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีไบเดนที่พยายามจะชูภาพว่าตัวเองเป็นคนกลางๆ มาตลอด ว่าแท้จริงแล้วก็มีความเป็นนักการเมืองสายสังคมนิยม (Socialism) ไม่แพ้นักการเมืองซ้ายจัดของพรรคอย่าง อลิซาเบธ วอร์เรน หรือ อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-กอร์เตส
ไบเดนพยายามจะผูกเรื่องนี้กับ Medicare และ Social Security
ไบเดนนั้นรู้ดีว่าพรรครีพับลิกันย่อมจะพยายามโจมตีว่าเขาเป็นพวกสังคมนิยมจากการขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูงในครั้งนี้ ทำให้เขาเลือกที่จะผูกเรื่องนี้เข้ากับนโยบายรัฐสวัสดิการที่ได้รับความนิยมชมชอบจากชาวอเมริกันอย่างโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้สูงอายุ หรือ Medicare และบำนาญผู้สูงอายุอย่าง Social Security ซึ่งทั้งสองโครงการนี้กำลังประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณจากการที่สหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจากการที่ประชากรรุ่นเบบี้บูมเมอร์กำลังเข้าสู่วัยเกษียณพร้อมๆ กัน ทำให้ดอกผลของเงินต้นของกองทุนทั้งสองไม่พอเพียงกับรายจ่ายอีกต่อไป
ว่ากันตามจริง ปัญหาเรื่องเงินของกองทุน Medicare และ Social Security เป็นปัญหาที่มีการพูดถึงกันมานานแล้ว แต่ทว่าทั้งสองพรรคมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันออกไป โดยที่ฝั่งพรรคเดโมแครตก็ได้มีความพยายามมาอย่างช้านานที่จะขึ้นภาษี แต่ฝั่งพรรครีพับลิกัน (โดยเฉพาะในยุคก่อนทรัมป์) มีความเห็นว่ารัฐควรจะลดรายจ่ายด้วยการลดผลประโยชน์ที่จะมอบให้กับผู้สูงอายุในทั้งสองโครงการ ยกตัวอย่างเช่น พอล ไรอัน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้แทนพรรคลงชิงชัยในตำแหน่งรองประธานาธิบดีในปี 2012 (คู่กับ มิตต์ รอมนีย์) ก็เคยเสนอร่างงบประมาณที่ยกเลิกโครงการ Medicare และแจกคูปองแทนเงินสดให้ผู้สูงอายุไปซื้อประกันสุขภาพจากเอกชนเอาเอง หรืออย่างเร็วๆ นี้ที่นักการเมืองระดับผู้นำของพรรคอย่าง ส.ว. ริค สกอตต์ ซึ่งเป็นประธาน ส.ว. ของพรรค ก็ได้เสนอแผนการให้มีการยกเลิกโครงการ Medicare และ Social Security ภายใน 5 ปีข้างหน้า
รีพับลิกันยุคหลังทรัมป์
พรรครีพับลิกันในยุคก่อน โดนัลด์ ทรัมป์ มักจะถูกมองว่าเป็นพรรคของนายทุน เพราะนักการเมืองของพรรคมักมีแนวคิดเรื่องตลาดเสรีและการลดขนาดของรัฐบาล ทำให้นโยบายของพรรคมักจะออกมาในรูปของการลดภาษีและลดข้อบังคับในการทำธุรกิจ จนนำไปสู่การลดขนาดของรัฐสวัสดิการและข้อกฎหมายในการปกป้องสิทธิของแรงงาน และพรรคเดโมแครตก็มักจะเอาจุดนี้มาหาเสียง โดยเฉพาะเรื่อง Medicare และ Social Security ที่พรรคเดโมแครตจะเอามาเป็นจุดโจมตีว่ารีพับลิกันเป็นพวกนายทุนที่ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงาน
อย่างไรก็ดี การมาถึงของทรัมป์ทำให้พลวัตทางการเมืองของสองค่ายเปลี่ยนแปลงไป เพราะทรัมป์เป็นรีพับลิกันที่เน้นแนวคิดเรื่องชาตินิยมมากกว่าเรื่องตลาดเสรีและการลดขนาดของรัฐบาล ทรัมป์ประกาศนโยบายตั้งแต่เขาเริ่มหาเสียงเลยว่า เขาจะไม่แตะต้องหรือลดผลประโยชน์ของโครงการ Medicare และ Social Security โดยเด็ดขาด ซึ่งนั่นก็ทำให้ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พรรคเดโมแครตไม่สามารถโจมตีเขาในเรื่องนี้ได้เลย และทำให้กลุ่มชนชั้นแรงงาน (โดยเฉพาะชาวอเมริกันผิวขาว) หันเหไปลงคะแนนให้รีพับลิกันมากกว่าเดโมแครต
เป็นที่น่าสนใจว่าไบเดนและพรรคเดโมแครตเลือกเอาประเด็นนี้มาเป็นจุดโจมตีรีพับลิกันอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นไปได้ที่พวกเขามองว่าผู้แทนพรรครีพับลิกันในปี 2024 อาจจะไม่ใช่ทรัมป์ แต่เป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริดาคนปัจจุบันอย่าง รอน เดอซานติส ที่มีความเชื่อในตลาดเสรีและรัฐบาลขนาดเล็กมากกว่าทรัมป์ โดยที่เดอซานติสเคยให้สัมภาษณ์ในสมัยที่เขายังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าเขาเห็นด้วยกับแนวคิดของ พอล ไรอัน ที่จะให้มีการแจกคูปองแทนเงินสดให้ผู้สูงอายุไปซื้อประกันสุขภาพจากเอกชนเอาเอง รวมถึงประวัติการโหวตในสภาที่เขาลงมติเห็นด้วยกับการยกเลิกโครงการ Medicare ถึง 4 ครั้ง ซึ่งจุดนี้แม้แต่ทรัมป์เองก็หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นโจมเดอซานติสในการเลือกตั้งขั้นต้นที่จะมาถึงในอีก 1 ปีข้างหน้า
ซึ่งถ้าเดอซานติสได้เป็นผู้แทนพรรครีพับลิกันขึ้นมาจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่าพลวัตทางการเมืองที่เราเห็นมาในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมในช่วงยุคปี 2010
ภาพ: Chip Somodevilla / Getty Images