หลังเปิดตัวแชตบอตไปเมื่อไม่นานมานี้ก็สร้างเรื่องขายหน้าให้เสียแล้ว! ล่าสุด Google ชี้ว่า Bard AI เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น พร้อมเดินหน้าเร่งทดสอบเทคโนโลยีภายในให้ผู้ใช้งานได้ข้อมูลตรงตามความจริง แย้ม Bard AI จะไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่การค้นหาเพียงเท่านั้น
CNBC รายงานว่า หลังจาก Google ออกมาเคลื่อนไหวเปิดตัว Bard แชตบอตปัญญาประดิษฐ์อย่างเป็นทางการ ไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมีเป้าหมายหวังสู้กับ ChatGPT แต่ดูเหมือนผู้บริหารจะยังไม่ได้ระบุการใช้งานและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
มิหนำซ้ำระบบแชตบอตตัวใหม่ยังสร้างเรื่องให้หุ้นของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ร่วงลงเกือบ 9% เมื่อวันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังระบบทำงานของแชตบอตได้ให้ข้อมูลในการโฆษณาไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จากข้อมูลส่วนหนึ่งที่ระบุว่า กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ เป็นกล้องตัวแรกของโลกที่ถ่ายภาพดาวเคราะห์นอกระบบได้ แต่หากอ้างอิงจาก NASA กล้องตัวแรกที่ถ่ายภาพดาวเคราะห์นอกระบบได้คือกล้องโทรทรรศน์ VLT จากหอดูดาวท้องฟ้าซีกใต้ของยุโรป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ยังไม่ช้า (เกินไป) ใช่ไหม? Google เปิดตัว ‘Bard’ แชตบอตปัญญาประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสู้กับ ChatGPT โดยเฉพาะ
- SK Telecom ไม่ยอมตกเทรนด์! เตรียมอวดโฉม AI Chatbot คาดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2023
- ‘Binance’ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘Bicasso’ ปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์สำหรับการสร้างผลงาน NFTs
ซันดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google กล่าวในที่ประชุมของบริษัทว่า สิ่งที่ยากลำบากหลังเปิดตัวแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้ใช้งานแค่เพียงการค้นหาเท่านั้น แต่ความสามารถของ Bard ต้องมีมากกว่านี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีภายใน เพื่อให้แน่ใจว่าการตอบสนองของ Bard เป็นไปตามความสมเหตุสมผลของข้อมูลความเป็นจริง
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า Bard เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น และถือเป็นช่วงการทดลอง เชื่อว่าอีกไม่น่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมนี้
ขณะที่ แจ็ค คราวซีค หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Bard อธิบายว่า Bard และ ChatGPT เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) แต่ไม่ใช่โมเดลความรู้ ทั้งสองมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน แต่จะคล้ายกันในแง่การสร้างข้อความที่อิงตามข้อเท็จจริง เราจึงพยายามแยกการใช้งานของ Bard ออกจากการค้นหาเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม Google ได้ใช้งบสำหรับการวิจัยและพัฒนา AI มากกว่าบริษัทอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่ควรมีข้อผิดพลาด และสิ่งสำคัญที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ การตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลังจากผู้ใช้งานป้อนข้อมูลแล้วจะได้รับข้อมูลที่อยู่บนพื้นฐานความจริงหรือไม่ แล้วถ้าไม่ จะสร้างผลกระทบมากน้อยแค่ไหน
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google ได้เรียก เจฟฟ์ ดีน หัวหน้าฝ่าย AI ของ Google เข้าพบ และยิงคำถามว่า ทำไม Google ถึงสูญเสียพนักงานและทีม AI ที่มีทักษะและความสามารถไปจำนวนมาก
โดย เจฟฟ์ ดีน ได้ตอบเพียงสั้นๆ ว่า ทีมวิจัย AI นั้นมีความสามารถที่จะพัฒนาโปรดักต์ให้เข้าถึงผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก และนับเป็นอาชีพที่ตลาดต้องการแย่งตัวในช่วงที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญกับการแข่งขันสูง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft Corp. ที่ประกาศว่าจะลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ใน OpenAI และกำลังดำเนินการรวม ChatGPT เข้ากับเครื่องมือค้นหา Bing เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
อ้างอิง: