วันนี้ (3 มีนาคม) ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้อง กรณีที่ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว สืบเนื่องจากการคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยศาลฯ พิจารณาให้ศักดิ์สยาม ผู้ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีจนกว่าศาลฯ จะวินิจฉัย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า กรณีนี้เป็นการยื่นคำร้องร่วมกันของ ส.ส. พรรคฝ่ายค้าน 54 คน ตั้งประเด็นหลักมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของตนเมื่อกลางปี 2565 โดยจากข้อมูลเอกสารที่ตนได้รับมานั้น พบว่าการโอนหุ้น หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ซึ่งเคยเป็นของศักดิ์สยาม และได้โอนหุ้นออกไปก่อนจะรับตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น มีพิรุธอยู่ในหลายจุด
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รับโอน ซึ่งปรากฏว่ามีความพัวพันกับครอบครัวชิดชอบมาอย่างยาวนาน, การให้ หจก. ใช้ที่อยู่บ้านของตระกูลตนเองต่อยาวนานเป็นปี ทั้งๆ ที่ไม่มีสถานะผู้ถือหุ้นหรือกรรมการใน หจก. แล้ว, การยื่นทรัพย์สินของศักดิ์สยามที่น้อยจนผิดปกติ หากมีการขายหุ้นครั้งนี้จริง, ตัวเลขในงบการเงินที่มีความขัดแย้งกันในตัวเอง, ราคาในการซื้อขายซึ่งไม่สมเหตุสมผลกับรายได้ของธุรกิจ และไม่ปรากฏหลักฐานการโอนเงินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้
เมื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมดจึงพบความไม่สอดคล้องกันเต็มไปหมด และหนักแน่นพอที่จะกล่าวหาได้ว่าศักดิ์สยามยังคงความเป็นเจ้าของ หจก. แห่งนี้อยู่ และ หจก. แห่งนี้ก็ยังได้รับงานจากกระทรวงคมนาคมอย่างต่อเนื่องเป็นมูลค่ามหาศาล ในช่วงที่ศักดิ์สยามดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปกรณ์วุฒิกล่าวต่อไปว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ พิสูจน์ว่าถึงแม้จะเป็นเสียงข้างน้อยในสภา ไม่สามารถล้มรัฐมนตรีกลางสภาได้ แต่หากมีข้อมูลหลักฐานที่แน่นหนาพอ ‘ผู้แทนราษฎร’ ก็ยังสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบจนอาจดึงรัฐมนตรีลงจากเก้าอี้ได้จริงๆ
ท้ายที่สุดตนขอเรียกร้องไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำลังจะอนุมัติงบ ‘ทิ้งทวน’ ก่อนยุบสภาว่า ขอให้ระงับโครงการที่เสนอเข้า ครม. โดย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ทั้งหมด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ประชาชนจะตัดสินในคูหาเลือกตั้งว่าใครควรที่จะเข้ามาบริหารเงินภาษีของพวกเขาในรัฐบาลชุดต่อไป