เจ้าหน้าที่ทหารอาวุโสของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งจดหมายแจ้งต่อสภาคองเกรสในเดือนมกราคมว่า ปัจจุบันจีนมีระบบปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) จำนวนมากกว่าสหรัฐฯ แล้ว นับเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่สหรัฐฯ มองว่าจีนยกระดับขีดความสามารถทางการทหาร
จดหมายจาก พล.อ. แอนโทนี คอตตอน ผู้บัญชาการกองบัญชาการยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งดูแลคลังแสงนิวเคลียร์ของประเทศ เปิดเผยว่า จากข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2022 คลังระบบปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปแบบภาคพื้นและแบบเคลื่อนที่ของจีน ‘มีจำนวนมากกว่าระบบปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปในสหรัฐอเมริกา’ แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนขีปนาวุธ ICBM และหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ นั้นยังคงมีมากกว่า
แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีคลังนิวเคลียร์ขนาดใหญ่กว่าจีน แต่ความพยายามของทางการจีนในการปรับปรุงและยกระดับศักยภาพด้านนิวเคลียร์ของตนอย่างต่อเนื่องได้สร้างความวิตกกังวลให้กับฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ และเป็นที่จับตาของผู้นำทางทหาร อย่างไรก็ตาม รายงานจากสำนักข่าว CNN ไม่ได้ระบุว่าระบบปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีปของจีนมีจำนวนที่แน่ชัดเท่าไร
โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่คุกรุ่นมากขึ้นกว่าเดิม จากกรณีที่บอลลูนสอดแนมของจีนลอยรุกล้ำน่านฟ้าสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเดินทางไปเยือนปักกิ่ง โดยให้เหตุผลว่าการปรากฏตัวของบอลลูนดังกล่าวเป็น ‘การละเมิดอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ และกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน’
อนึ่ง ข้อมูลในปี 2022 ระบุว่า สหรัฐฯ มีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมดมากกว่า 5,000 หัวรบ ขณะที่จีนมีมากกว่า 400 หัวรบ ส่วนรายงานของเพนตากอนที่เผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ระบุว่า จีนกำลังเร่งสร้างคลังอาวุธนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วมากขึ้น และอาจมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 1,500 หัวรบ ภายในปี 2035 หากพวกเขารักษาความเร็วในการผลิตไว้เช่นนี้
แฟ้มภาพ: Kevin Frayer / Getty Images
อ้างอิง: