×

23 สิ่งที่ต้องกลับไปโดนที่ญี่ปุ่นในปี 2023! จัดทริปแบบ ‘ความคุ้นเคยบวกความแปลกใหม่’ : โกเบ-อาวาจิ-คางาวะ-ชิโกกุ-ฟุกุโอกะ

โดย THE STANDARD TEAM
27.01.2023
  • LOADING...
JNTO

น่านฟ้าของโลกเปิดออกอีกครั้ง แม้จะยังไม่ครบทุกภาคส่วนเหมือนที่เคยเป็น แต่สำหรับคนไทยที่อั้นเที่ยวมาเกือบ 3 ปีอย่างเราๆ แน่นอนว่ากดจองตั๋วและจัดกระเป๋าในสปีดที่เร็วยิ่งกว่าการจากไปของอากาศหนาวเมืองไทย แต่ใครจะไปสนใจ ในเมื่อเรากำลังจะได้ไปสัมผัสความเย็นชุ่มปอดของญี่ปุ่น 

 

ซากุระก็ดี ใบไม้แดงก็ได้ ขอให้ได้ไปเถอะ! 

 

เข้าใจได้ว่าหลายคนคงกังวลเรื่องโรคภัยที่ก็ยังลุกขึ้นมาอาละวาดเป็นระลอก (ทุกคนที่กำลังจัดกระเป๋าชะงักมือแล้วหันมาทำหน้าวิตก) แต่ในฐานะที่กลับไปเยือนมาแล้วอยากบอกให้สบายใจว่ามันปลอดภัยมาก คนญี่ปุ่นนั้นใส่หน้ากากเก่งพอกับคนไทย และใส่มาตั้งแต่ก่อนโควิด มาตรการป้องกันโรคก็ดีงามทุกหนแห่ง ไม่มีอะไรให้ต้องเครียดหรือขมวดคิ้ว เอาเวลามาวางแผนเดินทางของเราดีกว่า (จัดกระเป๋าต่ออย่างร่าเริง!) 

 

 

วันนี้ทางเราขอนำเสนอแผนชื่อว่า ‘การกลับไปอย่างยิ่งใหญ่ของนักเที่ยวไทยผู้หิวญี่ปุ่น’ ชวนคุณกลับไปซบอกความคุ้นเคยที่จะช่วยสร้างความสบายใจ แต่เติมประสบการณ์ใหม่ๆ ลงไปด้วย 

 

จากทั้งหมดกว่า 10 ทริปที่เคยไปเยือนญี่ปุ่นมา ผมสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนบอยของภูมิภาคคันไซได้อย่างเต็มภาคภูมิ นั่นคือถ้าไปเที่ยวเองแบบไม่ต้องทำงาน ก็จะจิ้มสนามบินปลายทางที่ KIX ในโอซาก้า เป็นจุดตั้งต้นไว้ก่อน แล้วร่อนเร่เรื่อยเปื่อยไปเกียวโต โกเบ นารา วากายามะ โอคายามะ หรือฮิโรชิมะ แล้วพุ่งไปลงฟุกุโอกะ ก่อนจะตะลอนไปทั่วเกาะคิวชู นั่นคือท่ามาตรฐานของนักท่องเที่ยวอย่างเรา ที่พอเดินทางมาสักพักก็มักขี้เกียจออกนอกเส้นทางที่คุ้นเคยแล้ว 

 

ดังนั้นจึงตื่นเต้นมากกับการเดินทางครั้งนี้ที่มีเจ้าภาพเป็น JNTO หรือ Japan National Tourism Organization (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น) เพราะราวกับเขารู้ใจ พากลับไปที่ที่ผูกพันและคิดถึง แต่แอบดึงเราออกนอกคอมฟอร์ตโซนไปเจอแหล่งท่องเที่ยวเฟี้ยวๆ ใหม่ๆ ที่ควรค่าแก่การปักหมุดลงแมปบ้าง 

 

บอกเลยว่าต่อจากนี้ผมจะเที่ยวด้วยแนวคิดนี้แหละ ‘คุ้นเคยเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็แอบผจญภัยเบาๆ’ แนะนำสำหรับคนที่เที่ยวญี่ปุ่นมาจนพรุน กลับไปที่ที่เรารักนั่นแหละครับ แต่หา Side Trip เพื่อเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ด้วย

 

Index:

  1. กระตุกทุกประสาทสัมผัส: พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ átoa ที่โกเบ
  2. รูปปั้นหอมหัวใหญ่ที่ใครก็ต้องตกใจ! ‘Ottamanegi’ เกาะอาวาจิ
  3. เบอร์เกอร์แห่งความ ‘สุด’ ของคนญี่ปุ่น: Awajishima Onion Beef Burger
  4. ฟันกระเบื้องด้วยมือเปล่า!: Breaking Roofing Tile Experience
  5. ข้าวกล่องหน้าหมึกยักษ์ (ที่ไม่ต้องการน้ำจิ้มซีฟู้ด)
  6. ซุ้มประตูโทริอิลอยฟ้า: ศาลเจ้า Takaya
  7. ภาพสะท้อนกลับหัวที่ชายหาดพระอาทิตย์ตกดิน: หาดชิจิบุงาฮามะ
  8. เรียวกังชั้นยอด: Shikishima-kan 
  9. แสวงบุญบนบันได 785 ขั้นไปกับน้องหมา!: คมปิระซัง-ศาลเจ้าโคโตฮิรากุ
  10. พูดถึงคางาวะ ต้องคิดถึงซานุกิอุด้ง: Sanuki Udon
  11. ไอศกรีมอุด้งมีอยู่จริง!: Kamatama Soft Cream 
  12. โรงแรมดีที่ฟุกุโอกะ: The Blossom Hakata Premiere 
  13. สดอร่อยจากทะเลวันต่อวัน: Umeyama Teppei
  14. ศาลเจ้าเรียนเก่งที่เหมาะกับคนชิคๆ: ดาไซฟุเท็มมังกู  
  15. หาดแห่งความรัก ซากุราอิ ฟุตามิงาอุระ – Sakurai Futamigaura, Itoshima 
  16. จุดถ่ายรูปห้ามพลาด: กำแพงปีกเทวดา + SURF SIDE CAFE 
  17. ห้างเท่ๆ: MARK IS
  18. หม้อไฟมตสึนาเบะ คนรักไส้มาทางนี้: Nishijin Hatsuki 
  19. ร้านรวมสารพัดแมสก์: Smile Factory 
  20. ซอฟต์ครีมเนียนแน่นยังกับมาร์ชเมลโล! : Daimyo Soft Cream 
  21. ร้านชาชั้นดี: Mitsuyasu Seika-en 
  22. โรงแรมดีที่ฟุกุโอกะ: Hotel Resol Trinity Hakata
  23. เสพบรรยากาศร้านรถเข็นแบบญี่ปุ่น: ยะไต Chusuke

 

หลังแลนดิ้งลงสนามบินนานาชาติคันไซในโอซาก้า คุณจะสามารถผ่านกระบวนการเข้าเมืองที่แสนสะดวกสบาย เพียงกรอก Fast Track ที่เว็บไซต์ Visit Japan ก่อนที่ https://www.vjw.digital.go.jp/ แล้วใช้ QR Code ที่ ตม. และศุลกากรได้เลย ง่ายและสะดวกมาก 

 

ความคุ้นเคยของเราคือโอซาก้าใช่ไหม ได้! ช้อป ชิม อิ่มอร่อย ไปก่อนเลยสัก 2 วัน จากนั้นลองแพลนทริปต่อไปยังเฮียวโงะ (หรือโกเบ) ใช้เวลานั่งรถไฟไม่ถึง 40 นาทีจากสถานีโอซาก้า โดยปักหมุดที่ Kobe Port Museum แล้วไปตาม Google Maps ได้เลย หรือถ้าจะเช่ารถขับไปก็แค่ชั่วเวลาฟังพอดแคสต์จบเอพิโสดหนึ่งก็ถึงแล้ว (ญี่ปุ่นขับรถง่ายมากครับ)

 


 

 

1. กระตุกทุกประสาทสัมผัส: พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ AQUARIUM×ART átoa

ที่อยู่: Kobe City, Hyogo Pref. ชั้น 2-4 Kobe Port Museum 

ค่าเข้า: 2,400 เยน (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป), 1,400 เยน (เด็กนักเรียนประถม), 800 เยน (3 ขวบขึ้นไป)

เวลาเปิด-ปิด: โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดบนเว็บไซต์


การเดินทาง: จากสถานีซันโนมิยะ (Sannomiya – 三宮) เดินประมาน 18 นาที, จากสถานีโมโตมาจิ (Motomachi – 元町) เดินประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัส Port Loop Bus จากป้าย Sannomiya Ekimae (三宮駅前) ลงที่ป้าย Shinko-cho (新港町) ตรงหน้าพิพิธภัณฑ์เลย 

เว็บไซต์: https://atoa-kobe.jp/ 

 

สถานที่แบบนี้สำหรับผมคือต้องโดน เพราะมันครบเครื่อง ทั้งความชิล ความว้าว และความน้อน! 

 

คนรักอควาเรียมอาจเคยไปไคยูคัง (Kaiyukan) ที่โอซาก้ามาแล้ว กลับไปครั้งนี้อยากชวนไปชมหนึ่งในอควาเรียมเจนใหม่ของญี่ปุ่น อายุอานามเพียงหนึ่งขวบนิดหน่อยเท่านั้น จึงไม่แปลกใจที่สัมผัสถึงความสดใหม่ของการดีไซน์และแนวคิดของที่นี่ได้เต็มเปี่ยม  

 

ชื่อ ‘อาโทอะ’ (átoa) มีที่มาจาก ‘อา’ แรกที่หมายถึง Aquarium ‘โท’ คือ と (To) ที่แปลว่า และ/กับ ส่วน ‘อะ’ อันหลังคือ Art มินนะซังครับ! ที่นี่คือการผสมผสานพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเข้ากับศิลปะ! 

 

 

ไฮไลต์แบบเล่นใหญ่ที่สุดต้องยกให้โซนชื่อ ‘MIYABI’ กับทัศนียภาพ 4 ฤดูของญี่ปุ่นผสมผสานสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ 

 

ตอนเดินเข้าไปนี่คือลืมไปชั่วขณะจริงๆ ว่านี่กำลังอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เพราะมันสวยจนตะลึง ผมใช้เวลาในห้องเพดานสูงโอ่โถงนี้นานที่สุด เพราะนอกจากต้องส่ายกล้องถ่ายคลิปเก็บไปฝากทางบ้านแล้ว ยังค่อยๆ เดินไล่ส่องแต่ละองค์ประกอบอย่างละเอียดลออด้วยตาตัวเองอีกรอบ ที่นี่ถูกออกแบบให้ถ่ายทอดหลากอารมณ์แห่ง 4 ฤดูของญี่ปุ่น ผ่านแสง สี และความเคลื่อนไหวของแสง ตลอดจนเรื่องราวของวัฒนธรรมและเสียงดนตรีที่ช่วยปรุงอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้ม ก่อนจะได้สะดุ้งและหัวเราะออกมากับเจ้าปลาน้อยใหญ่หลายชนิดพันธุ์ที่ว่ายอวดสีสันอยู่ใต้พื้นกระจก เรียกว่า 360 องศา ไม่มีตรงไหนไม่สวยและไม่น่าตื่นเต้นเลยสักมุมเดียว  

 

คำนี้ดี! 

  • MIYABI (雅) สื่อความหมายประมาณว่า ‘ความงดงามแบบดั้งเดิม’ เห็นภาพสาวกิโมโนชงชาแช่มช้อยใต้กิ่งซากุระแล้วหนึ่ง
  • ในภาษาอังกฤษอาจใช้คำว่า Gracious, Elegant, Graceful หรือ Refined
  • 和と灯の間 (MIYABI – Wa to Akari no ma) หมายถึงระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและแสง) 

 

เดินล่องลอยออกมาจากห้อง MIYABI ราวคนถูกสะกดจิต เลื้อยเลาะไปตามทางที่ถูกออกแบบไว้อย่างดี เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ (มีทั้งหมดมากถึง 8 โซน 8 อารมณ์) เพื่อเยี่ยมชมบรรดา ‘น้อน’ ทั้งหลายที่รอทักทายเราอยู่ ต่อให้ไม่ได้รักสัตว์น้ำเป็นพิเศษก็ต้องมีใจเหลวกันบ้าง ภายใต้ใบหน้าหนวดๆ ที่ถูกครอบไว้ด้วยหน้ากากสีดำขรึมนี้ ผมส่งเสียงเหมือนโลมาอยู่ตลอดเวลาด้วยความเอ็นดูสูงสุด โดยเฉพาะน้อนผู้นี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แพตเทิร์นดีไซน์หลักของ átoa เอ็นดูมาก

 

 

กำลังอมยิ้มราวคนบ้ากับความน่ารักของเหล่าน้องๆ สมองก็ถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยพลังแห่งแสงสี! ที่นี่เขามีคอนเสิร์ตหรือยังไง! แล้ว โอ้ ถังแก้วกลมขนาดยักษ์ที่เด่นเป็นสง่านั้นมันคืออะไร! 

 

 

ถึงจุดนี้เราเริ่มชินกับแสง สี เสียงแล้ว แต่พอมาถึงโซน Planets งานหมอกก็ออกมาเซอร์ไพรส์! นี่ยังมีกิมมิกอะไรซ่อนอยู่อีกไหมครับเนี่ย! และเนื่องจากเผอิญเดินเข้ามาในจังหวะที่เอฟเฟกต์ทุกอย่างในคลังแสงถูกปล่อยออกมาแสดงพร้อมเพรียง ผมถึงกับทรุดตัวลงนั่งแล้วซึมซับบรรยากาศอยู่อีก 10 นาทีเต็ม อากิระซังครับ เราอยู่ที่นี่สักหนึ่งวันเต็มๆ ได้ไหม (ผู้นำทริปตอบว่า เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ เรายังมีของอีกราว 22 อย่างรอให้ไปโดนอยู่นะคะ ลุกค่ะ) 

 

 

แสง เสียง สี ดนตรี หมอก หมดแล้วใช่ไหมนะ? ยังครับ กลิ่นก็มา! นี่เขาตั้งใจโจมตีทุกประสาทสัมผัสของเราจนครบจริงๆ โซน Marine Note นี้กลิ่นต่างจากโซนอื่นจริงๆ ด้วย ที่จริงไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าห้องอื่นมีกลิ่นไหม แต่พอเข้ามาในห้องนี้ถึงกับต้องปลดหน้ากากชั่วคราว แล้วตั้งใจสูดกลิ่นที่ทำให้นึกถึงความสดชื่นของไอทะเล อดคิดไม่ได้ว่าเขาน่าจะทำเทียนหรือดิฟฟิวเซอร์กลิ่นนี้ขายนะ ผมอุดหนุนแน่ 

 

 

เอาเป็นว่าถ้าคุณรักสัตว์ รักศิลปะ รักการออกแบบที่ฉลาด รักบรรยากาศสบายๆ ไม่รีบร้อน กรุณาจัดเวลามาเยี่ยมชมที่นี่อย่างน้อยครึ่งวัน เพื่อมาถ่ายรูปไปสัก 1,000 ช็อต (มันว้าวทุกมุมจริงๆ นะ) ได้ทั้งความรู้คู่ความตะลึงตา 

 

 

ก่อนกลับอย่าลืมแวะขึ้นไปชั้น 4 ที่ átoa Café เพื่อจิบเครื่องดื่มร้อนๆ แกล้มของหวานที่แทบตัดใจกัดเข้าไปไม่ลง เพราะมันน่ารักมากอีกแล้ว (แนะนำซอฟต์ครีมกับเอแคลร์) กินเถอะครับ มันอร่อย… นั่นไง! ที่สุดแล้วประสาทสัมผัสการรับรสที่ลิ้นก็ไม่วายถูกโจมตีอีกจนได้ หรือถ้ายังเสพความน่ารักไม่พอ เดินต่อไปด้านหลัง เพื่อทักทายฝูงน้องเพนกวินที่โซน Skyshore เป็นการปิดท้ายได้นะ

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

2. รูปปั้นหอมหัวใหญ่ที่ใครก็ต้องตกใจ! Ottamanegi (おっ玉葱)

ที่อยู่: Uzunooka Onaruto Bridge Memorial Hall, Awaji island, Hyogo Pref. 

แผนที่: https://goo.gl/maps/T9Zfvz8hbogHu6Dz6 

การเดินทาง: จากทางออกทางด่วน Awajishima Minami IC (淡路島南IC) ประมาณ 1 กิโลเมตร 

 

เกาะอาวาจิ (Awaji) เป็นแหล่งปลูกหอมหัวใหญ่คุณภาพดี ปลูกได้ตลอดทั้งปี อากาศก็พอดิบพอดีที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 16 องศาเซลเซียส ไหนจะดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ บวกกับลมที่พัดมาจากทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) ทำให้ความเผ็ดน้อยลง ก็เลยได้ออกมาเป็นหอมหัวใหญ่หวานฉ่ำจูซซี่ที่เลื่องชื่อ

 

เรารู้กันอยู่แล้วว่าคนญี่ปุ่นนั้นสุภาพ ไม่กระโตกกระตาก ถ้าไม่นับสถานการณ์พิเศษอย่างการฉลองในอิซากายะแล้ว ทุกคนก็จะพยายามคุมระดับเสียงในที่สาธารณะไว้อย่างมีมารยาทมากทีเดียว 

 

ยกเว้นเวลาที่เขาต้องการประกาศก้องถึงของดีที่เขาภูมิใจ! ถ้าในกรณีนี้ผมว่าไม่มีใครจะตะโกนได้ดังเท่าชาวญี่ปุ่นอีกแล้ว! ชาวอาวาจิจึงจะไม่มัวอุบอิบกระซิบว่า อะโน หอมหัวใหญ่ของเราก็คุณภาพดีนิดหน่อยนะครับ ฮุฮิ แต่เขาจะตะเบ็งบอกกันสุดเสียงเลยล่ะว่า หอมหัวใหญ่อาวาจิดีที่สุดในโลกเลยคร้าบ! เชิญชิมกันได้เลยค่า! No Onion No Life เดส! 

 

รูปปั้นหอมหัวใหญ่ (เรียกหอมหัวยักษ์เถอะ) นี้นักท่องเที่ยวต่างต่อแถวถ่ายรูปเช็กอินกันเอิกเกริก มันมีทั้งความน่ารักและน่าทึ่งที่ดึงความอารมณ์ดีของทุกคนออกมาได้ ไม่ว่าจะวัยลุงหรือวัยหลาน นี่เป็นจุดถ่ายรูปสุดฮิตที่สามารถมองเห็นวิวทะเล ช่องแคบนารูโตะ (Naruto) กับสะพานแขวนโอนารูโตะ (Oonaruto) ที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะอาวาจิกับเกาะชิโกกุได้เต็มสายตา 

 

 

ร้านขายขนมของฝากที่นี่เต็มไปด้วยสินค้าหลากหลาย หอมหัวใหญ่สดๆ และอะไรก็ตามที่ทำจากหอมหัวใหญ่ หรือดีไซน์ออกมาโดยได้แรงบันดาลใจจากหอมหัวใหญ่ ตั้งแต่ฟุโรชิกิ ผ้าญี่ปุ่นสารพัดประโยชน์ ไปจนถึงตุ๊กตามาสคอตหน้าตาน่ากอด ส่วนของกินเล่นขอแนะนำ Onion Chips กรุบกรอบหยุดไม่ได้ กะพริบตาหนึ่งทีคือหมดไปแล้วหนึ่งถุง 

 

หันไปอีกทางก็เห็นมุมถ่ายรูปที่คุณสามารถคอสเพลย์เป็นหอมคุงได้โดยการใส่วิกส้ม! และที่เตะตาชนะเลิศ คนมุงกันแน่นเอี้ยด คือ ตู้คีบหอมหัวใหญ่! 

 

คำนี้ดี!

  • ภาษาญี่ปุ่นเรียกหัวหอมว่า ทามะเนกิ (Tamanegi – 玉葱) พอดีเสียงไปคล้ายกับ Tamageru たまげる (ตกใจ) ก็สื่อประมาณว่า เห็นรูปปั้นหัวหอมแล้วประหลาดใจจัง อะไรอย่างนั้น  
  • แต่ถ้าจะใช้อุทานให้พูดว่า “Ottamage!” (おったまげ!)

 

กลับสู่ Main Menu


 

3. เบอร์เกอร์แห่งความ ‘สุด’ ของคนญี่ปุ่น: Awajishima Onion Beef Burger

 

ภาพ: ©Awaji Island Tourist Association

 

เห็นแถวยาวๆ ที่ไหน คนไทยสู้ตายไม่มีท้อ รีบแล่นเข้าไปต่อคิวอย่างไว ยืนรอไป สูดกลิ่นหอมไป น้ำลายไหลถึงหัวเข่า ขนมหน้าตาน่ารักที่อควาเรียมเมื่อเช้ากินพื้นที่เพียง 1 ใน 10 ของกระเพาะเท่านั้น ขอเบอร์เกอร์หนึ่งชิ้นยักษ์เท่ารูปปั้นหอมใหญ่ Ottamanegi เลยได้ไหม! อ้อ ขอหอมใหญ่ทอดหนึ่งที่ด้วยครับ!

 

ญี่ปุ่นนั้นถนัดนักเรื่องการจัดแรงก์ ป้ายขนาดใหญ่ด้านหน้าบอกเราแล้วว่าฮิตอันดับ 1-5 ของที่นี่คือเมนูอะไรบ้าง ผมจิ้มฮิตอันดับ 2 อันเป็นเบอร์เกอร์หมู เนื่องจากอันดับ 1 เขาเป็นเบอร์เกอร์เนื้อ และผมไม่กินเนื้อ อืม กรุณาหมายเหตุคำพูดที่บอกว่า “ผมไม่กินเนื้อ” เอาไว้ให้ดีนะครับ (คุณคุมิโกะ ไกด์สาว ยิ้มหรี่ตาประมาณว่า แล้วดิฉันจะรอดูนะคะ)

 

ขนมปังร้อนๆ นุ่มหนา เนื้อชิ้นโตเนียนฟัน และเด่นที่ความหวานกรอบของหอมใหญ่ที่ทำให้นึกสงสัยว่าถ้าได้กัดกินสดๆ อาจจะอร่อยสดชื่นไม่แพ้แอปเปิ้ลเลยนะนี่! กะพริบตาอีก 3 ทีทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในท้อง เริ่มต้นมื้อแรกได้ดีงามอย่างนี้ เหมือนเป็นลางที่ดีว่าตลอดทริปต้องได้ผจญของอร่อยอีกไม่หวาดไม่ไหวแน่ๆ

 

กลับสู่ Main Menu


 

4. ฟันกระเบื้องด้วยมือเปล่า!: Breaking Roofing Tile Experience 

 

 ภาพ: ©Awaji Island Tourist Association 

 

อาวาจิไม่ได้มีแต่ของให้ดูและให้กินนะครับ เดี๋ยวนี้คนเราเขาต้องเที่ยวเอา Experience กันด้วย มันต้องได้ลงไม้ลงมือออกแอ็กชันกันหน่อย แถมผลพลอยได้คือคอนเทนต์สำหรับอัปลงสตอรีใน IG หรือ TikTok ได้เก๋ๆ ดูยูนีก ไม่ดาษดื่น หมื่นไลก์ต้องมาแล้ว 

 

แต่ถามว่าจู่ๆ เขาก็ดำริขึ้นมาลอยๆ เหรอว่าให้คนมาเรียนคาราเต้กันอย่างไม่มีที่มาที่ไป ไม่ได้สิ มันต้องมีความผูกโยงกับรากเหง้าของท้องถิ่นด้วย ทั้งหมดทั้งมวลจึงเริ่มมาจากการที่เกาะอาวาจินั้นเป็นตัวท็อปของประเทศในการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาชั้นดี จึงมีความคิดที่จะโชว์เคสสินค้าเชิดหน้าชูตาของเกาะผสานไปกับศิลปะการต่อสู้แบบญี่ปุ่น สร้างสรรค์กันไปมา กลายเป็นกิจกรรมฟันกระเบื้องด้วยมือเปล่า! คาราเต้มาสเตอร์จะเป็นผู้สอนคุณสับกระเบื้องให้กระจุยด้วยท่วงท่าเยี่ยงจอมยุทธ์ นี่เขามีชุดให้เปลี่ยนด้วยนะไม่ใช่เล่นๆ ดูโปรสุดอะไรสุด 

 

ในเว็บเขียนบอกไว้เลยว่า อายุที่ร่วมกิจกรรมนี้ได้คือตั้งแต่ 5 ขวบยัน 95 ขวบ! โดยจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง ราคาเหมาๆ ไป 3,500 เยน รวมเรียนรวมสับ มีพี่สตาฟฟ์คอยถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ให้เสร็จสรรพ มาร่วมสนุกกันเป็นหมู่คณะได้ เขารับตั้งแต่ 2 คนไปจนถึง 30 คน แค่คิดภาพก็ได้ยินเสียง ย้ากกก ฉัวะ! กันเซ็งแซ่สนุกสนานแล้ว 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

5. ข้าวกล่องหน้าหมึกยักษ์ (ที่ไม่ต้องการน้ำจิ้มซีฟู้ด)

 

Hippari Dako Meshi (ひっぱりだこ飯) ของร้าน Awaji-ya ซึ่งเป็นร้านขายข้าวกล่องที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1903 ราคากล่องละ 1,200 เยน มีขายตามสถานี Kobe, Shin-kobe และอื่นๆ 

 

ระหว่างนั่งรถผ่านไปบนสะพานอะคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge) สะพานแขวนที่ยาวที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในโลกที่เชื่อมระหว่างโกเบและเกาะอาวาจิ เหนือช่องแคบอะคาชิ ก็ได้รับความรู้จากคุมิโกะซัง คุณไกด์คนเก่งที่พูดไทยคล่องปรื๋อ ว่าที่นี่มี ‘หมึกยักษ์’ เป็นของขึ้นชื่อ และด้วยความที่ใช้ชีวิตแหวกว่ายอยู่ในคลื่นทะเลรุนแรงเป็นประจำ ทำให้เนื้อน้องเขาแน่น หนึบ แต่ไม่เหนียวเลย น่าทึ่งมาก 

 

“ไม่เหนียวจริงหรือ ไม่น่าเชื่อเลย ถ้าได้พิสูจน์ก็คงดีนะครับเนี่ย” คุณคุมิโกะยิ้มแล้วหรี่ตาอย่างรู้ทัน ก่อนจะควัก Hippari Dako Meshi ที่ซื้อเตรียมไว้ออกมาแจกจ่ายคนละหนึ่ง พลางถามเบาๆ ว่า เอ๊ะ เบอร์เกอร์หอมใหญ่ย่อยไปหมดแล้วเหรอคะ (ซึ่งผมทำเป็นไม่ได้ยิน) 

 

 

เรียกข้าว ‘กล่อง’ อาจไม่ค่อยตรงนัก คงต้องเรียกข้าว ‘โอ่ง’ จะเหมาะกว่า อีกครั้งที่เห็นได้ชัดว่างานแพ็กเกจจิ้งของญี่ปุ่นเขาจึ้งจริง! ทั้งดีไซน์สุดเท่บนกระดาษปิดฝา และตัวโอ่งดินน้อยลายนูนรูปทาโกะปากจู๋ ที่เดี๋ยวพอกินเสร็จแล้วสามารถล้างเก็บไว้ใช้ใส่โน่นนี่จุ๊กจิ๊กต่อได้ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนที่พยายามจะ Sustainable 

 

เดี๋ยวนะ นึกออกแล้ว เจ้านี่คือสิ่งที่ผมเคยเห็นในการ์ตูนชื่อ ตะลอนชิมข้าวกล่องรถไฟ ที่เคยอ่านนี่นา วันนี้ได้จับของจริงและกำลังจะได้ลิ้มรสของอร่อยในตำนานแล้ว! 

 

 

และตามประสาคนไทยแหละครับ พอเปิดมาเจอปลาหมึกปุ๊บ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือ “อยากได้น้ำจิ้มซีฟู้ดจังน้า” ถ้าน้องทาโกะรู้เข้าคงงอน (“พวกผมเป็นหมึกสัญชาติญี่ปุ่นนะ!”) แต่เพียงวินาทีแรกที่ได้ลิ้มลองก็ต้องลืมความคิดติดแซ่บแต่เดิม เพราะมันกลมกล่อมสมบูรณ์แล้วด้วยตัวของมันเอง แครอต เห็ด ไข่หวานย่าง ปลาไหลย่าง ข้าวญี่ปุ่นเหนียวนุ่ม ซอสละมุนลิ้น และพระเอกของงาน หมึกยักษ์ที่นุ่ม หนึบ แต่ไม่เหนียวจริงๆ ด้วย สุดยอดไปเลย! 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

6. ซุ้มประตูโทริอิลอยฟ้า: ศาลเจ้าทาคายะ (Takaya – 高屋神社)

ที่อยู่: Kan-onji City, Kagawa Pref. 

แผนที่: https://goo.gl/maps/m7inYp2eVNbRAvMV9 

การเดินทาง: วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จะมีบริการชัตเทิลบัสจากที่จอดรถของสวน Kotohiki (ค่ารถบัส (ไป-กลับ) 1,000 เยน ประมาณ 25 นาที สามารถเช็กตารางรถบัสได้ที่นี่: https://www.City.kanonji.kagawa.jp/soshiki/21/22812.html)

 

ถ้าคิดว่าก้าวเท้าลงจากรถบัสแล้วจะพบกับสุดยอดวิวอย่างในรูปทันที ก็ต้องบอกว่า ใจเย็นก่อนนะมินนะซัง จากจุดนี้เรายังต้องใช้พลังน่องและพลังใจตะกายกันต่ออีกประมาณ 3-4 ฮึบบนทางเดินเท้าที่จะชันขึ้นเรื่อยๆ (จนอีกนิดหนึ่งจะเป็นหน้าผาอยู่แล้ว) แต่ไม่ต้องกลัวไป ใครร่างกายไม่ค่อยฟิต เพียงแค่ก้าวสั้นๆ ขึ้นไปอย่างช้าๆ อย่าหวั่นไหวกับนักท่องเที่ยวบางท่านที่จะคล้ายมีวิชาตัวเบา ปล่อยเขาไปๆ จะอย่างไรก็ขอรับรองว่าวิวข้างบนนั้นสวยคุ้มเมื่อยแน่นอน 

 

 

Takaya Shrine เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอินาซุมิ (Inazumi) ที่มีความสูง 404 เมตร คนท้องถิ่นเรียกศาลเจ้านี้ว่า อินาซุมิซัง (Inazumi-san) ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเรียกโชคลาภ ครอบครัวแคล้วคลาด ธุรกิจรุ่งเรือง และแลนด์มาร์กอันโด่งดัง ‘เสาโทริอิลอยฟ้า’ (Tenku no Torii – 天空の鳥居) ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเช็กอินสักครั้ง จากมุมนี้เราจะมองเห็นเมืองคันองจิ (Kan-onji) กับทะเลในเซโตะได้พร้อมกัน ทิวทัศน์สบายตา สวยจนลืมปวดขาไปเลย 

 

เหนือชั้นอย่างญี่ปุ่น ต้องรวมวัฒนธรรมเข้าไว้กับเทคโนโลยี ในบริเวณศาลเจ้าจึงมีตู้กดอัตโนมัติที่ขายเครื่องราง แผ่นไม้เอมะ รวมไปถึงเส้นอุด้งอันโด่งดัง เอาไว้บริการ หยอดเหรียญแล้วสะสมของที่ระลึกกันได้ตามอัธยาศัย 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

7. ภาพสะท้อนกลับหัวที่ชายหาดอาทิตย์ตกดิน: หาดชิจิบุงาฮามะ (Chichibugahama – 父母ヶ浜) 

ที่อยู่: Mitoyo City, Kagawa Pref.

แผนที่: https://goo.gl/maps/MA399kuyC7BbT7WT6 

 

ถ้ารู้สึกว่าทะเลเกลือ Uyuni Salt Flat ในประเทศโบลิเวียที่อเมริกาใต้มันไกลไป ก็มาที่นี่แทนได้ หาดนี้เป็น 1 ใน 100 จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น เคยได้ที่ 1 ในการจัดอันดับ ‘สถานที่ดูพระอาทิตย์ตกที่อยากไปมากที่สุด’ ในปี 2018 โดยเว็บไซต์ jalan.net 

 

 

ลมพัดเย็น แสงสีสวย และผู้คนคึกคัก ทั้งที่เหนื่อยหนักมาทั้งวัน ทันใดนั้นก็เหมือนถูกชาร์จพลังให้กลับมาสดชื่นได้อีกรอบ ด้วยเสียงหัวเราะที่มากับท่าโพสถ่ายรูปตลกๆ หรือเสียงอู้อ้าวู้ว้าวที่มากับสายโพสท่าสวยๆ แต่ถ้าอยากได้รูปถ่ายเป๊ะปังโดยมืออาชีพ ใช้บริการที่นี่ได้เลย: https://www.mitoyo-kanko.com/eng/photoplan/ 

 

นี่เป็นเว็บไซต์ของการท่องเที่ยวเมืองมิโทโยะที่มีข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ แนะนำทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการถ่ายรูป นอกจากนั้นยังสามารถเข้าไปดูวัน-เวลาว่าง แล้วกรอกแบบฟอร์มจองได้ทันที โดยเขาจะรับถ่ายเป็นกรุ๊ป เยอะสุดไม่เกิน 40 คน ราคาตามนี้ คือ กลุ่ม 1-10 คน ราคา 22,000 เยน, กลุ่ม 11-20 คน ราคา 44,000 เยน, กลุ่ม 21-30 คน ราคา 66,000 เยน และกลุ่ม 31-40 คน ราคา 88,000 เยน (ถ้าตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุด เพิ่ม 11,000 เยน)

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

8. เรียวกังชั้นยอด: ชิกิชิมะคัง (Shikishima-kan – 敷島館)

ที่อยู่: Kotohira town, Kagawa Pref.

การเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีโคโตเดนโคโตฮิระ (Kotoden Kotohira – 琴電琴平) 

เว็บไซต์: https://www.hotespa.net/hotels/shikishimakan/ 

 

เรียวกังแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงทางเดินขึ้นสู่ศาลเจ้าโคโตฮิระกู เรียกว่าเป็นทำเลทองอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวหลักเลยทีเดียว เป็นการปรับปรุงอาคารเก่าแก่ 100 ปีของเรียวกังที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญจากรัฐบาลญี่ปุ่น ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะได้รับการบริการชั้นหนึ่ง ได้นอนอย่างคุณภาพในห้องพักชั้นหนึ่ง รวมไปถึงการได้อร่อยกับอาหารมื้อเย็นชั้นหนึ่งแบบ 8 คอร์สที่ทั้งอิ่มตา อิ่มใจ และอิ่มท้อง

 

 

มีบ่อออนเซนทั้งในร่มและกลางแจ้ง ห้องซาวน่ากว้างขวาง แต่ถ้าไม่สะดวกใจจะใช้พื้นที่ร่วมกับผู้อื่นในสภาพเปล่าเปลือย ขอเชิญทางออนเซนแบบส่วนตัวที่มีให้ถึง 4 ห้อง 4 สไตล์ ใช้ได้เลยโดยไม่ต้องจองและไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม

 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

9. แสวงบุญบนบันได 785 ขั้นไปกับน้องหมา!: คมปิระซัง – ศาลเจ้าโคโตฮิรากุ (Kotohiragu – 金刀比羅宮)

ที่อยู่: Kotohira town, Kagawa Pref.

การเดินทาง: จากสถานี Kotoden Kotohira (琴電琴平) เดินประมาณ 15 นาทีไปถึงประตู Daimon หรือจากสถานี JR Kotohira (JR 琴平) เดินประมาณ 20 นาทีไปถึงประตู Daimon

เว็บไซต์: http://www.konpira.or.jp 

 

คนญี่ปุ่นมักจะเรียกศาลเจ้านี้ว่า ‘คมปิระซัง’ (Konpira-san) ตั้งอยู่บนภูเขาโซซุ (แปลว่าหัวช้าง) ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาเมื่อใด แต่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยเฮอันเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว

 

บนนี้มีศาลเจ้าของเทพแห่งทะเล (Omononushi no kami – 大物主神) และจักรพรรดิซูโตคุ (崇徳天皇) จักรพรรดิองค์ที่ 75 ศักดิ์สิทธิ์เรื่องความปลอดภัยในการเดินทางเรือ ความอุดมสมบูรณ์ของดินและผลผลิต

 

 

คมปิระซังมีชื่อเสียงกับบันไดหิน 785 ขั้น (ซึ่งยังมีจุดหมายที่สูงขึ้นไปอีกรวม 1,368 ขั้นให้ได้ท้าทาย สำหรับคนที่ทั้งพลังขาและพลังศรัทธาล้นเหลือ) ชาวญี่ปุ่นจะพูดกันว่า “ไปไหว้เจ้าขอพรที่คมปิระซังสักครั้งหนึ่งในชีวิต” อารมณ์คงเหมือนอยากไปพระพุทธบาทสักครั้งของคนไทยสมัยก่อน ดังนั้นในสมัยเอโดะ การเดินทางไปไหว้เจ้าขอพรที่คมปิระซังจึงเป็นกิจกรรมสุดฮิต แต่สำหรับคนที่อยู่ไกลหรือร่างกายไม่อำนวย ก็จะมีการฝากสุนัขให้ไปกับนักเดินทางแทน โดยสุนัขที่ไปไหว้เจ้าแทนเจ้าของนั้นก็จะได้รับการขนานนามว่า ‘คมปิระอินุ’ (Inu แปลว่าสุนัข) นั่นเอง เท่ระเบิด

 

 

ถ้าจะให้โหวต ที่นี่คืออันดับหนึ่งในใจผมสำหรับทริปนี้เลย ทั้งที่ต้องตื่นมาปีนบันไดกันแต่เช้า เหนื่อยและเมื่อยขาแทบหลุด แต่การได้ออกเหงื่อกับกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่อากาศแจ่มใสเย็นสบายอย่างนี้ไม่ใช่โอกาสที่หาง่าย ทุกครั้งที่มาญี่ปุ่นผมจะพยายามมาในฤดูอากาศหนาวจัดอย่างที่ชอบ และจะบอกตัวเองว่า ให้ใช้เวลาอยู่กลางแจ้งให้ได้มากที่สุด และต่อให้ระหว่างทางจะเหนื่อยแค่ไหน เมื่อได้ขึ้นไปถึงยอดสูงสุด ความชื่นใจนั้นจะหาอะไรมาเปรียบไม่ได้เลยทีเดียว

 

 

สำหรับคนที่กังวลใจกับคำว่า ‘บันได 785 ขั้น’ อยากให้เห็นภาพว่ามันไม่ใช่บันไดที่ต้องตะกายรวดเดียวโดยมีคนเอาแส้เฆี่ยนอยู่ข้างหลังอย่างนั้นนะครับ ระหว่างทางจะมีร้านค้าให้แวะชม ร้านขนมให้แวะชิม ธรรมชาติสวยๆ ให้เพลิดเพลิน จะหยุดเดินเมื่อไรไม่มีใครว่า ปีนขึ้นไปอีก 10 ขั้น อ๊ะ เจอร้านน่าช้อป ไต่เพลินๆ ขึ้นไปอีก 20 ขั้น เอ้า วิวนี้ดี เซลฟีหนึ่งกรุบ ดังนี้เป็นต้น 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

10. พูดถึงคางาวะ ต้องคิดถึงซานุกิอุด้ง (Sanuki Udon) ที่ร้าน Tsuruda-ya (つるだや) 

ที่อยู่: ตั้งอยู่ตรงบันไดขั้นที่ 22 เปิดมานานประมาณ 160 ปีแล้ว 

เวลาเปิด-ปิด: เวลา 08.00-17.00 น.  

เว็บไซต์: https://turudaya.jp 

 

พูดถึงคางาวะ ต้องนึกถึงอุด้ง ที่นี่เป็นแหล่งปลูกข้าวสาลีมาเนิ่นนาน และเมื่อประมาณพันปีที่แล้ว พระโคโบ ไดชิ (คูไค) นำเส้นที่ทำจากแป้งสาลีกลับมาจากจีน แล้วเผยแพร่ใน Sanuki (ชื่อเดิมของจังหวัดคางาวะ)   

 

จุดเด่นของอุด้งที่นี่คือเส้นต้องแน่น หนึบ ตัวซุปทำจากปลาแห้งอิริโกะจากเกาะอิบูกิ อาหารชุดที่คณะเราได้ลิ้มรสเป็นเมนูสำหรับกรุ๊ปทัวร์ที่ต้องจองล่วงหน้า ยังมีเมนูอุด้งต่างๆ เช่น อุดุ้งเทมปุระ และอุด้งเต้าหู้ทอด เป็นต้น 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

11. ไอศกรีมอุด้งมีอยู่จริง! Kamatama Soft Cream (かまたまソフト) ที่ร้าน Shoyu-mame Hompo (しょうゆ豆本舗) 

ที่อยู่: ถนนช้อปปิ้งหน้าศาลเจ้า

ราคา: 350 เยน 

 

ไปให้สุดครับ บอกแล้วญี่ปุ่นเขาจะทำอะไรต้องสุดเท่านั้น คางาวะดังเรื่องอุด้งนักใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างต้อง Udon-Inspired ไปเลย ไม่เว้นแม้แต่ซอฟต์เสิร์ฟ! ใครจะไปนึกว่าเราจะได้กินไอติมอุด้งในชีวิตนี้ ที่ไหนมันจะมี! ที่นี่แหละครับ 

 

 

ในส่วนของรสชาติต้องบอกว่าเกินคาด ใครจะไปคิดว่าซอฟต์ครีมหวานๆ จะเข้ากันได้ดีกับต้นหอมและโชยุเช่นนี้ บ้าไปแล้ว 

 

 

เอาไปอีกหนึ่ง ซึ่งอร่อยและควรค่าแก่การจับเซลฟี เรียกว่า Oiri Soft Cream (おいりソフト) ท็อปปิ้งด้วย Oiri สีพาสเทลแสนนุบนิบ อันเป็นขนมมงคลขึ้นชื่อของจังหวัดคางาวะที่บ่าวสาวจะมอบให้กับแขกในงานแต่งงานตามประเพณีท้องถิ่น 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

12. โรงแรมดีที่ฟุกุโอกะ: The Blossom Hakata Premiere

ที่อยู่: Fukuoka City, Fukuoka Pref.

การเดินทาง: จากสถานี Hakata ทางออก Hakata เดิน 7 นาที

เว็บไซต์: https://www.jrk-hotels.co.jp/Hakata_premier/

 

วาร์ปมากับชินคันเซนสู่สถานีฮากาตะในฟุกุโอกะที่แสนคิดถึง เมืองนี้เคยช่วยเปิดประสบการณ์ให้คนไม่ชอบราเมงอย่างผมได้รู้จัก ‘ทงคตสึราเมง’ จนกลายเป็นอาหารโปรดติดท็อปเท็นไปเลย เปลี่ยนชีวิตมาก 

 

โรงแรมนี้ดีงามมาก ประการแรก ใกล้สถานีฮากาตะเพียง 2 บล็อก คณะเราไม่อยากเสียเวลารอแท็กซี่ จึงชวนกันลากกระเป๋าแล้วออกเดิน คุยกันเพลินๆ ยังไม่ทันเปลี่ยนท็อปปิกก็ถึงแล้วเฉย ประการที่ 2 ด้านล่างมี Starbucks ชั้น 2 มีร้านอาหารเด็ดที่เราจะได้ลิ้มรสเย็นนี้ (ถูมือและเลียริมฝีปากอย่างคาดหวัง) ประการที่ 3 ห้องกว้างมาก ขนาดเตียงเพียงพอให้นักมวยปล้ำชายญี่ปุ่นหนึ่งคนพลิกตัวได้ 4 ตลบ (นี่คือลองลงไปกลิ้งดูจริงๆ ถูกไหม) ให้หมอนคุณภาพดีมาเต็มเตียงจนนึกอยากมีมากกว่าหนึ่งหัวจะได้หนุนคุ้มๆ และสุดท้ายคุณภาพฟูกคือแทบจะพลิกเตียงดูป้ายยี่ห้อ ทำไมมันจะนอนสบายขนาดนี้ ถ้ามีแบบนี้ที่บ้านต้องโดนไล่ออกจากงานแน่ เพราะจะไม่ยอมตื่นขึ้นทำมาหากินอีกเลย 

 

อีกหนึ่งสิ่งที่ลงไปใช้บริการได้ฟรีคือ ออนเซน ซึ่งถึงจะไม่อลังการเท่าของโรงแรมที่แล้ว แต่ก็จัดว่ากว้างขวางจนวิ่งเล่นได้ (แต่ไม่แนะนำ เพราะจะลื่นล้มหน้าฟาด) มีห้องซาวน่าร้อนๆ ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้า แถมผลิตภัณฑ์อาบน้ำก็หอมและละมุนผิวดีเหลือเกินจนอยากขโมยใส่ขวดเปล่าร้านไดโซกลับบ้าน (ก็ไม่แนะนำอีก เพราะเป็นนิสัยอันไม่งามอย่างยิ่ง) 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

13.สดอร่อยจากทะเลวันต่อวัน: อุเมะยามะ เทปเป โชคุโด (Umeyama Teppei Shokudo – 梅山鉄平食堂)

ที่อยู่: ชั้น 2 ของโรงแรม The Blossom Hakata Premier 

เวลาเปิด-ปิด: เวลา 11.30-15.30 น. (ออร์เดอร์สุดท้ายเวลา 15.00 น.), เวลา 17.00-22.00 น. (ออร์เดอร์สุดท้ายเวลา 21.30 น.) หยุดวันอังคารและพุธ 

เว็บไซต์: https://umeyamateppei.com/lime 

 

นี่คือร้านอาหารท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวเมืองฟุกุโอกะ มี 2 สาขา โดยสาขาหลัก Honten อยู่ที่ถนนวาตานาเบะโดริ 

 

จานเด็ดของที่นี่ใช้ปลาสดๆ จากทะเลเก็งไคนะดะ (Genkai-nada – 玄界灘) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะคิวชู ดังนั้นเมนูวันนี้จะมีอะไรก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ได้มาในวันนั้นๆ นั่นเอง สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว โดยจะมีการอัปเดตเมนูบนเว็บไซต์ของร้านทุกวัน ตอนเวลาประมาณ 10.00 น.

 

 

ยุคนี้ไม่กลัวแล้วล่ะกับการที่เมนูหรือป้ายต่างๆ ใดๆ ไม่มีเวอร์ชันภาษาที่เราเข้าใจ เพียงใช้ Google Translate แบบเปิดกล้องส่องดูแป๊บเดียว ก็สื่อสารกันได้สบายมาก และนั่นก็คือวิธีที่เราได้มาซึ่งอาหารอร่อยลิ้นที่ได้กินในมื้อนี้ อันประกอบด้วย 

 

  • ชุดปลาย่างประจำวัน วันนี้เป็นซาบะ (本日の焼き魚定食, 880 เยน) 
  • ชุดปลามาอาจิซาชิมิ (真アジ刺身定食, 1,380 เยน) 
  • ชุดปลาแซลมอนชุบแป้งทอด (サーモンフライ定食, 1,155 เยน) 
  • ชุดปลากะพงต้ม (天然鯛煮付け定食, 1,480 เยน) 
  • ชุดหอยนางรมชุบแป้งทอด (カキフライ定食, 1,280 เยน) 

 

ความคนไทยก็จะมีการสั่งกันคนละชุดไม่ซ้ำ แล้วแบ่งกันเพื่อให้ทุกคนได้กินทุกอย่าง ชาวญี่ปุ่นทั่วไปอาจมีการเอียงคอใส่ด้วยความงงเล็กน้อย แต่ทั้งคุมิโกะซังและอากิระซังของเราเฉยมาก ด้วยความที่ชินแล้ว แถมแบ่งซาบะและหอยนางรมทอดให้เราได้ลิ้มรสอย่างใจดี 

 

มื้อนี้ทั้งความอร่อยและความสนุก (ในการแลกกันชิม) เอาไปเลยสิบเต็มสิบ!

 

กลับสู่ Main Menu


 

ภาพ: Dazaifu-Tenmangu

 

14. ศาลเจ้าเรียนเก่งที่เหมาะกับคนชิคๆ: ดาไซฟุเท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine – 太宰府天満宮) 

ที่อยู่: Dazaifu City, Fukuoka Pref.

การเดินทาง: จากสถานี Nishitetsu Fukuoka (Tenjin) นั่งรถไฟสาย Nishitetsu Tenjin-Oomuta ลงที่สถานี Futsukaichi เปลี่ยนสายเป็นสาย Nishitetsu Dazaifu ลงที่สถานี Dazaifu ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาที ค่ารถไฟ 410 เยน

เว็บไซต์: https://www.dazaifutenmangu.or.jp/en/ 

 

อีกหนึ่งศาลเจ้าสำคัญระดับซิกเนเจอร์ที่ต้องแวะเมื่อมาฟุกุโอกะ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 919 เพื่ออุทิศให้แก่ สึกะวาระ โนะ มิจิซาเนะ (Sugawara Michizane – 菅原道真) ผู้ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการศึกษา ที่นี่จึงได้ชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์เรื่องการเรียน การสอบ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย มีคนมากราบไหว้ประมาณ 10 ล้านคนต่อปี 

 

สึกะวาระ โนะ มิจิซาเนะ เป็นคนชั้นสูงในสมัยเฮอัน เกิดที่เกียวโต เป็นทั้งนักวิชาการและนักการเมืองที่เก่งกาจ ต่อมาถูกคู่แข่งทางการเมืองไล่ออกจากเกียวโต และส่งไปยังเมืองดาไซฟุบนเกาะคิวชู หลังจากมิจิซาเนะเสียชีวิตลง ขณะลูกศิษย์ขนศพของท่านด้วยรถเข็น เดินไปสักพักหนึ่ง เจ้าวัวลากรถกลับหยุดเดินและนอนลง ทำอย่างไรก็ไม่ยอมไปต่อ เลยเชื่อกันว่านั่นเป็นเพราะวิญญาณของท่านมิจิซาเนะอยากจะอยู่ที่นี่ ที่สุดแล้วจึงตัดสินใจฝังศพท่านลงตรงนั้น และสร้างเป็นอาคารศาลเจ้าขึ้นมาเคารพบูชาทีหลัง

 

ในบริเวณศาลเจ้ามีต้นบ๊วยราว 6,000 ต้นทั้งสีขาวและสีชมพู เนื่องจากเป็นดอกไม้โปรดของท่านมิจิซาเนะ ดอกบ๊วยจึงกลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของศาลเจ้านี้ไปโดยปริยาย ใครอยากได้ภาพดอกบ๊วยบานสะพรั่งต้องมาช่วงราวกลางเดือนกุมภาพันธ์-กลางเดือนมีนาคม

 

แต่ละศาลเจ้าจะมีจุดเด่นหรือจุดขายต่างกันไป ใครอยากสัมผัสศาลเจ้าที่เดินทางง่าย ไม่ต้องใช้เวิร์บทู ‘จาริก’ โดยการขึ้นเขาปีนบันได ที่นี่เหมาะมาก นอกจากนั้นยังเป็นที่ที่ให้บรรยากาศของความเป็นหนุ่มสาวเต็มเปี่ยม เนื่องจากมีนักเรียน-นักศึกษาจำนวนมากมาขอพรให้สอบติดกันตลอดเวลา นอกจากนี้ร้านรวงสองข้างทางยังมีความเก๋ไก๋ทางการดีไซน์สูงมาก แถมสินค้าและอาหารนั้นนอกจากรสชาติดีแล้ว ยังถูกแวดล้อมด้วยการออกแบบของหน้าร้านและแพ็กเกจจิ้งสุดเทรนดี้ ใครที่ไม่ได้ใฝ่ศาลเจ้าแนวคัลเจอร์จัด แต่เน้นดีไซน์ชิคๆ ที่นี่เหมาะกับคุณสุดๆ 

 

ภาพ: Dazaifu-Tenmangu

 

แนะนำขนมขึ้นชื่อ โมจิปิ้งไส้ถั่วแดงตราดอกบ๊วย (Umegae-Mochi) ชิ้นละ 130 เยน ซึ่งอร่อยจริง ชิ้นเดียวไม่พอ และต้องซื้อฝาก! 

 

จุดถ่ายรูปนอกศาลเจ้าเท่าที่เห็นคือทุกคนเป็นต้องแวะ Starbucks ที่ดีไซน์หน้าร้านเป็นแบบไม้พุ่ง เป็นร้านเงือกเขียวที่ออกแบบได้ไม่เหมือนร้านไหนจริงๆ

 

คำนี้ดี!

  • คำพูดภาษาญี่ปุ่นสำหรับคุณที่อยากลดน้ำตาล ได้มาจากที่ต้องการสั่งกาแฟหวานน้อย คุมิโกะซังจึงสอนให้ท่องวลีนี้ไว้ “ซาโต้ สุคุนาเมเดะ” (Sato Sukuname de) ที่หมายความประมาณว่า “ขอหวานน้อยๆ นะครับ/ค่ะ”

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

15. หาดแห่งความรัก ซากุราอิ ฟุตามิงาอุระ (Sakurai Futamigaura – 桜井二見ヶ浦),  Itoshima)

ที่อยู่: Itoshima City, Fukuoka Pref. อยู่คาบสมุทรอิโตชิมะ ทางตะวันตกของฟุกุโอกะ

การเดินทาง: จากตัวเมืองฟุกุโอกะ ขับรถประมาณ 45 นาที

แผนที่: Sakurai Futamigaura’s Couple Stones: https://goo.gl/maps/ZvgTdyUu7wFE52Qs5 

 

ทุกเมืองใหญ่ต้องการเมืองตากอากาศอยู่ใกล้ๆ ที่ที่เรานึกคึกขึ้นมาเมื่อไรก็สามารถกระโดดขึ้นรถแล้วชวนกันขับไปเที่ยวหย่อนใจได้เลย ไม่ต้องเตรียมตัวนาน จะอยู่สักวันสองวันหรือไปเช้าเย็นกลับก็สบายๆ อิโตชิมะก็เป็นสถานที่แบบนั้นแหละ 

 

ถ้าคุณไม่ใช่มือใหม่หัดเที่ยวคิวชู น่าจะเคยรู้มาบ้างว่าที่นี่เขาขึ้นชื่อมากในหมู่คนรักหอย (พูดถึงก็ได้กลิ่นหอยสดๆ ย่างไฟหอมๆ ชวนกลืนน้ำลาย ลอยมาทันที) ที่นี่จะมีคาเฟ่เท่ๆ ให้คุณได้แวะชิลตามรายทาง และอีกอย่างที่อยากให้แวะไปเก็บรูปเก็บสตอรีก็คือ เสาโทริอิสีขาวบนชายหาด ที่เมื่อมองทะลุไปแล้วจะเป็นกรอบเป๊ะให้กับภาพของหินคู่รักหรือหินแต่งงาน (Meoto-Iwa 夫婦岩) ที่อยู่เบื้องหลัง สองหินนี้เชื่อมต่อกันด้วยเชือกศักดิ์สิทธิ์ (Shimenawa) ความยาว 30 เมตร น้ำหนักเกือบ 1 ตัน โดยจะมีพิธีกรรมเปลี่ยนเชือกใหม่ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี 

 

และแน่นอนว่านี่ก็เป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น 1 ใน  100 แห่งด้วยเช่นกัน

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

16. จุดถ่ายรูปห้ามพลาด: กำแพงปีกเทวดา (天使の羽) + SURF SIDE CAFE (パームビーチザガーデンズ) 

การเดินทาง: เดินเพียง 7 นาทีจากหินคู่รัก เราก็สามารถติดปีกให้กับตนเพื่อรูปถ่ายคูลๆ ไว้ลงโซเชียลแล้ว ตรงนี้ฮิตมาก อย่าลืมมาเป็นเทวดากัน แนะนำให้มากันช่วงเย็นๆ แสง สี จะดีงามตามท้องเรื่อง 

แผนที่: 

 

สะบัดปีกเทวดาทิ้ง แล้วเดินขึ้นจากชายหาดมาอีกเพียง 1 นาที จะเจอคาเฟ่แสนเก๋ที่ทำให้ผมนึกว่านี่เราทะลุมิติมาที่ปาล์มบีชในยุค 80 หรือเปล่า เป็นร้านที่ทั้งนั่งสบายและถ่ายรูปสวย ไม่ว่าจะเคาน์เตอร์หรือบูธในสไตล์ไดเนอร์ด้านใน หรือจะไปเอกเขนกบนระเบียงชิลๆ ด้านนอก เครื่องดื่มก็ชื่นใจ ขนมก็อร่อย และโฟโตจีนิกจัด!

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

17. ห้างเท่ๆ: MARK IS Fukuoka Momochi  

เวลาเปิด-ปิด: เวลา 10.00-21.00 น.

การเดินทาง: จากสถานีรถไฟใต้ดิน Tojinmachi (唐人町) เดินประมาณ 10 นาที 

แผนที่: https://goo.gl/maps/VpCRDwLYHAR5JwmG9 

เว็บไซต์: https://www.mec-markis.jp/fukuoka-momochi/ 

 

คนที่เคยไปเยือนฟุกุโอกะมาแล้วย่อมนึกออกว่าถ้าจะช้อปปิ้งต้องตรงดิ่งไปที่ไหน ซึ่งก็คงไม่พ้น Canal City ที่ไม่ไกลจากสถานีฮากาตะนัก ไม่ก็ย่านเทนจิน แต่ถ้าได้กลับไปหนนี้อยากให้ลองแวะไปที่อีกหนึ่งห้างเท่ๆ ใกล้แค่นั่งใต้ดินจากสถานีเทนจินไป 3 ป้ายเท่านั้น 

 

ห้าง MARK IS เรียกว่าเท่ตั้งแต่ตัวตึกที่ออกแบบให้เหมือนน้องวาฬ ไปจนถึงการออกแบบด้านในที่ถึงจะไม่ซื้ออะไร ก็เดินถ่ายรูปได้ทั้งวัน 

 

 

อยากได้อะไรที่นี่มีครบ แบรนด์ดังที่คุ้นเคยหรือแบรนด์แปลกตาที่น่าค้นหา มุมเซลฟีเก๋ๆ ก็มากมาย อยากดูภาพยนตร์ก็มีโรงภาพยนตร์ อยากเล่นเกมก็มีอาร์เคด แถมฟู้ดคอร์ตเขาก็ดีมากจริงๆ อาหารละลานตาเลือกแทบไม่ถูก ร้านระดับรางวัลเพียบ!

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

18. หม้อไฟมตสึนาเบะ คนรักไส้มาทางนี้: Nishijin Hatsuki (西新初喜) 

ที่อยู่: สาขา MARK IS Fukuoka Momochi ชั้น 3

เวลาเปิด-ปิด: เวลา 11.00-22.00 (Lo. 21.15 น.)

เว็บไซต์: https://www.nishijin-hatsuki.jp 

 

เคยลั่นวาจาไว้ว่า “ผมไม่กินเนื้อ!” แต่ถามว่าลำบากใจไหมที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง อ๋อไม่เลยครับ ที่จริงลืมอธิบายว่าผมเป็นคนที่ปกติไม่กินเนื้อ แต่ถ้ามีเนื้ออร่อยมากๆ ก็จะกินครับ ดังนั้นการยอมเสียคำพูดหรือจุดยืนบ้างเพื่อให้ได้กินของอร่อย ก็นับเป็นสิ่งควรทำบ่อยๆ จริงไหมครับ 

 

จำได้ว่าครั้งแรกที่มาฟุกุโอกะนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองกินหม้อไฟไส้ตุ๋น วันนี้กลับมาอีกทีก็เป็นโอกาสได้รื้อฟื้นความทรงจำอันสวยงามให้ต่อมรับรสชาติอีกครั้ง

 

รู้สึกขอบคุณมากๆ ที่ตลอดทริปนี้มีแผนช่วยกำกับเรื่องการกินด้วย คือทาง JNTO เขาช่วยคัดและคิดมาแล้วว่าเราควรต้องได้ฟินกับอาหารอะไร มื้อไหน ไม่เช่นนั้นคงได้ยืนงงในดงของอร่อยไปอีกนาน เพราะตัดสินใจไม่ถูก มื้อนี้เลยมาลงที่นี่ครับ นิชิจินฮัตสึกิ ร้านยากินิกุ เนื้อวัววากิวขนดำ และหม้อไฟไส้ตุ๋นมตสึนาเบะ ที่เปิดมานานกว่า 80 ปี  

 

 

รายการต่อไปนี้เหมาะสำหรับนักกินทั่วไป สามารถอร่อยกันได้ทุกวัย ทางเราชิมให้แล้วครับ รับประทานตามได้ทั้งหมดเลย เด็ดแน่นอน หม้อไฟไส้ตุ๋นวัววากิวขนดำ (黒毛和牛もつ鍋 สำหรับ 1 คน 1,980 เยน), ชุดแกงกะหรี่ลิ้นวัว (牛タンカレー定食 1,380 เยน) และอีกหนึ่งเมนูเด็ด ชุดแฮมเบิร์กเนื้อวากิวขนดำ (黒毛和牛特製ハンバーグ定食 1,780 เยน) อร่อยน้ำตาแทบไหลไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะความไส้นั้นมันได้เนื้อสัมผัสที่ทั้งหนุบและกรุบ ไหนจะรสชาติของน้ำซุปที่แทบตักซดจนหมดหม้อ จะขอเติมข้าวก็เขินๆ (ก็เลยไม่ขอ? หึ ขอสิครับ ไม่รู้เมื่อไรจะได้กลับมาหาหม้อไฟที่นี่อีก ต้องกินให้กระเพาะจดจำไปอย่างน้อย 3 ปี!) 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

19. ร้านรวมสารพัดแมสก์: SMILE FACTORY 

ที่อยู่: MARK IS Fukuoka Momochi ชั้น 3

เวลาเปิด-ปิด: เวลา 10.00-21.00 น.

 

สิ่งหนึ่งที่ผมสอดสายตามองหาอยู่เสมอในทริปนี้คือหน้ากาก ก็จริงที่มันไม่ได้เป็นของหายากเหมือนช่วงโควิดระลอกแรกอีกแล้วแหละ แต่ญี่ปุ่นเขาเป็นเจ้าแห่งการสวมหน้ากากไง และไม่ใช่แค่เรื่องไวรัสและความละอองฝอย ไหนจะหวัดเอย ภูมิแพ้เอย ฝุ่นเอย มันกลายเป็นสินค้าที่เราต้องพกติดตัวแบบไม่มีไม่ได้ไปแล้ว ผมเลยพยายามจะมองหาหน้ากากเก๋ๆ ที่ใหม่ด้วยไอเดียหรือเทคโนโลยี เพราะเชื่อว่าญี่ปุ่นเขาถนัดแน่ แต่ส่วนใหญ่การส่องตามคอมบินิ (ร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่น) ก็จะเห็นร้านละนิดละหน่อย ดังนั้นพอได้เดินมาเจอ SMILE FACTORY ทีเดียวคือโอเค จบ 

 

ที่นี่มีแมสก์มากกว่า 300 ชนิด จะเอาอะไรมีให้เลือกทั้งหมด จะเอาสวยก็คือมีให้ทุกสี ทุกเฉด จะเอาใส่สบายก็มีให้ทุกไซส์ ทุกทรง ผมถามไปตรงๆ เลยว่า อ่า มีแบบที่เหมาะกับคนหน้ากว้างๆ ไหมครับ ซึ่งมี แฮปปี้มาก แก้มที่เคยล้นออกข้างถูกรวบเก็บไว้ได้สำเร็จ ดูคล้ายเป็นคนหน้าเรียวคนหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว! 

 

ที่สำคัญขอลองใส่ดูได้ด้วยนะครับ เขาให้ลองและให้มาเลย คือมีน้อยมากที่เขาจะให้นะ แทบไม่เคยเห็นมาก่อน และแน่นอนว่าข้าพเจ้าที่เจอแมสก์รุ่นและสีที่ตรงใจก็โกยกลับมาอย่างเยอะ น่าจะใช้ได้ถึงกลางปีหน้า!

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

20. ซอฟต์ครีมเนียนแน่นอย่างกับมาร์ชเมลโล! : Daimyo Soft Cream 

ที่อยู่: สาขา MARK IS Fukuoka Momochi ชั้น 1

ราคา: Premium Milk (プレミアム生クリームミルク) 490 เยน

เว็บไซต์: https://daimyosoftcream.com/home/ 

 

แอบคิดไว้แล้วแหละว่าเขาต้องหาไอศกรีมอร่อยๆ ให้เราชิมอีก มันไม่จบแค่ที่ซอฟต์เสิร์ฟอุด้งเมื่อ 2 วันก่อนหรอก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงภายนอกจะทำหน้านิ่งๆ รักษาลุค แต่ในใจคือกระโดดตีลังกาไปแล้ว 

 

ถ้าพูดตรงๆ จากแวบแรกที่เห็นเราก็ไม่ได้ตื่นเต้นกันมาก เพราะถ้าเทียบกับซอฟต์ครีมที่โรยต้นหอมมาเตะตาแต่แรกแล้ว น้องไดเมียวเขาก็ดูหน้าตาเรียบง่าย ไม่หวือหวาอะไร จะมีสะกิดใจนิดหนึ่งก็แค่ตัวโคนสีดำสุดเท่ แต่พอได้ลองเม้มริมฝีปากขบลงบนก้อนสีขาวเย็นนั้น ตาเบิกโพลงครับ พระเจ้า ไม่เคยเจอสัมผัสแบบนี้มาก่อน ทำไมมันเนียนแน่นอย่างกับมาร์ชเมลโลขนาดนี้ หันไปอีกทีเห็นพนักงานขายกำลังโชว์ความหนุบหนับของน้องโดยการคว่ำทั้งกรวยให้ดูว่าไม่ไหลหล่นเด้อ 

 

 

ไดเมียวใช้เครื่องทำซอฟต์ครีมคุณภาพสูงจากอิตาลี ส่วนโคนสีดำสุดเท่นั้นก็เพราะผสมถ่านไม้ไผ่นั่นเอง เขามีสาขา 4 แห่งในฟุกุโอกะ แต่ถ้าใครไปเที่ยวโออิตะ ที่นั่นก็มีร้านหนึ่ง และสำหรับโตเกียวก็มีอีกร้านหนึ่งที่สวนสาธารณะมิยาชิตะ แถวสถานีชิบุยา ใกล้ที่ไหนก็แวะไปชิมที่นั่นครับ 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

21. ร้านชาชั้นดี มิตสึยาสึ เซกะเอ็น (Mitsuyasu Seika-en – 光安青霞園)

ที่อยู่: ถนนช้อปปิ้งชินเทนโช (Shin-Tencho Shopping Arcade – 新天町商店街)

เวลาเปิด-ปิด: เวลา 09.00-20.00 น. 

 

มาญี่ปุ่นทั้งทีต้องซื้อชาชั้นดีติดมือไปฝากผู้หลักผู้ใหญ่เสียหน่อย ร้านมิตสึยาสึ เซกะเอ็น (Mitsuyasu Seika-en) เปิดมาตั้งแต่ปี 1716 จำหน่ายชาเขียวจากเมืองยาเมะ อันเป็นแหล่งปลูกชาเขียวคุณภาพดีที่ฟุกุโอกะนี่เอง ไม่ว่าจะซื้อเป็นกรัมหรืออยากได้แบบซองสำเร็จรูปก็ได้ทั้งนั้น แถมที่นี่ยังมีชาสุขภาพและอุปกรณ์ในการชงชาแบบครบครันอีกด้วย

 

ได้คุยกับคุณลุงเจ้าของร้าน ซึ่งมีความรู้และเรื่องเล่ามากมาย ใครอยากฝึกสนทนาภาษาญี่ปุ่น ชวนคุณลุงคุยได้เลย ใจดีมากๆ ครับ

 

 

ร้านชาแห่งนี้อยู่ในชินเทนโช ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีหลังคา (Shōtengai) แห่งแรกในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น สร้างขึ้นมาเมื่อปี 1946 ตอนหลังสงคราม เดินออกมาจากสถานีเทนจินเจอเลยทันที มีร้านค้าให้ซื้อหาประมาณ 100 ร้าน เดินเพลินมาก ได้ของฝากกันครบๆ จบที่นี่ ไม่น่ายาก 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

22. โรงแรมดีที่ฟุกุโอกะ: Hotel Resol Trinity Hakata

 

ทำเลใจกลางเมืองแสนสะดวก ใกล้สถานีนาคาสึคาวาบาตะ (Nakasukawabata) แค่นิดเดียว รายล้อมด้วยร้านสะดวกซื้อและร้านค้าต่างๆ เช่น ดองกี้ ขาช้อปปิ้งที่ยังซื้อไม่หนำใจ รวมถึงผู้ที่พร้อมจะเดินเล่นดูแสง สี ยามราตรี  ที่นี่ตอบโจทย์ทั้งหมด เรื่องปากท้องนั้น อิจิรันราเมงก็อยู่ไม่ไกล หรือถ้าอยากไปเลาะริมฝั่งแม่น้ำฮากาตะเพื่อลองประสบการณ์ยะไต ก็ใกล้นิดเดียวเท่านั้น 

 

กลับสู่ Main Menu


 

 

23. เสพบรรยากาศร้านรถเข็นแบบญี่ปุ่น: Yatai! Chusuke (忠助)

ที่อยู่: ตั้งอยู่หน้าธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น สาขาฟุกุโอกะ 

เวลาเปิด-ปิด: วันจันทร์-เสาร์ เวลา 18.00-01.00 น. หยุดวันอาทิตย์

การเดินทาง: จากสถานีรถไฟใต้ดินเทนจิน (Tenjin) เดิน 3 นาที

เว็บไซต์: https://yokanavi.com/yatai/122502/ 

 

นี่คือสิ่งที่เราเห็นมาตั้งแต่เริ่มเสพมังงะและอะนิเมะญี่ปุ่น พระเอกรูปหล่อวัย 30 กว่าผู้กรำงานหนักจนดึก ขณะเดินกลับบ้านก็รู้สึกอยากแวะยะไตเจ้าประจำ เพื่อผ่อนคลายความเครียด แถมได้ปรับทุกข์กับคุณลุงเจ้าของร้านผู้ผ่านโลกมามาก และมักให้คำแนะนำดีๆ เสมอ 

 

อยากทำอย่างในการ์ตูนบ้างมานานแล้ว และวันนี้ก็ได้ทำสมใจครับ! ถึงเราจะไม่ใช่ซาราริมังผู้เหนื่อยล้าจากการงาน แต่เราเป็นนักท่องเที่ยวผู้เหนื่อยล้าจากการช้อป หอบข้าวของพะรุงพะรัง ร่างก็สั่นสะท้านกับอากาศ 7 องศาเซลเซียสของค่ำคืนนี้ ดูน่าสงสารไม่น้อย และควรได้รับการปลอบประโลมจากคุณลุงยะไตเช่นกัน! 

 

 

ในอากาศแบบนี้ โอเด้งคือสิ่งที่สวรรค์ส่งมาเลยครับ แรกๆ ก็ชี้แบบเขินๆ หัวไชเท้าครับ เต้าหู้ครับ ไข่ฟองหนึ่งครับ พอแล้วครับ ขอบคุณครับ อ๊าก! (อร่อยแสงพุ่งออกปาก) ทีนี้เริ่มรัวนิ้วชี้ของที่เหลือทุกอย่างที่ยังไม่ได้ชิม เก็บสแปร์ให้เกลี้ยง ผมคนเดียวน่าจะเติมไปประมาณ 4 รอบ นี่เฉพาะโอเด้งอย่างเดียวนะ ถ้าเป็นร้านชูสุเกะ สิ่งนี้คือไอเท็มเทพจริงๆ ครับ ถ้าไปฟุกุโอกะต้องมาลองให้ได้นะครับ

 

เอ๊ะ คุณลูกค้าข้างๆ เริ่มมีการสั่งเบียร์ น่าอร่อยจริง แต่ผมแพ้น่ะสิ สงสัยต้องสั่งจินเจอร์เอลเหมือนเดิมแล้ว แต่อะไรนะครับ เบียร์แบบแอลกอฮอล์ 0% ก็มีเหรอครับ ไหนผมขอลองหน่อย โอ้โห อร่อยจริง! รสชาติเหมือนเบียร์ปกติเลย! ทันใดนั้นจากที่ว่าจะอิ่มเลยเปลี่ยนใจ ขอเบิ้ลไข่ยัดไส้สไตล์ญี่ปุ่น (Tonpei-Yaki) อีกที่ครับ ยากิโทริด้วยครับ และแน่นอนเกี๊ยวซ่าต้องมาเพิ่มแล้ว! (ของร้านนี้เป็นเกี๊ยวซ่าน้อยน่ารัก กินแกล้มเบียร์ได้เรื่อยๆ คีบไปคุยไปไม่ต้องกลัวอิ่มเลยครับ) 

 

ในความมืดของค่ำคืนที่เหน็บหนาว แสงสีส้มละมุนของร้านรถเข็นมันช่างทำให้ชาวเมืองผู้อ่อนล้าและหิวโหยได้อุ่นใจและอุ่นท้องดีเหลือเกิน 

 

กลับสู่ Main Menu


 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.jnto.or.th/readysetgojapan/

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X